หน้าฝนทุกปีตั้งแต่เดือน พฤษภาคม – ตุลาคม เป็นฤดูทำนา กลับจากท้องนา ชาวบ้านก็จะได้ผักป่า ผักนา ทั้งเห็ดป่า หน่อไม้ ผักติ้ว ผักเม็ก ผักกระโดน ผักหนาม ผักอีลอก ผักหวาน และผักอีเลิด ติดไม้ติดมือกลับไปทำอาหาร บ้างก็จับได้แมลงต่างๆ เช่น แมงมัน จักจั่น ที่เป็นแหล่งโปรตีนธรรมชาติ ส่วนยามแล้ง ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงเมษายน แม้แผ่นดินอีสานจะร้อนระอุ แต่ในแหล่งน้ำลำห้วย ก็ยังมีปลามีสัตว์น้ำให้จับกิน ผักป่า อย่างยอดคอนแคน ดอกกระเจียว หวายป่า ก็เก็บมาแกง หรือจิ้มน้ำพริกกินได้ทั้งบ้าน ตามมาด้วยฤดูของไข่มดแดง จิ้งหรีด ที่มีให้เก็บไม่หมดง่ายๆ เพราะต้นไม้ตามหัวไร่ปลายนามีมากมาย ช่วงนี้ ชาวบ้านก็มักจะปลูกผักสวนครัวที่ทนแล้งไว้กินในครอบครัว พอย่างเข้าฤดูหนาว พืชหัวต่างๆ ก็พร้อมให้คนได้ขุดกิน มันป่า หัวกลอย สมุนไพรต่างๆ ปลา หอย ปูนา แมลงกระชอน ผักลืมผัว และผักพาย ที่เกิดตามเองธรรมชาติ เห็ดป่าสารพัดชนิด อาหารมีครบหมู่หมุนเวียนตามวัฏจักรของฤดูกาล ใครรู้จัก “หาอยู่หากิน” ไม่มีอดตาย
ดินแดน “ภาคอีสาน” นับเป็นภูมิภาคที่มีระบบนิเวศหลากหลาย ทั้งป่าดิบแล้ง ทุ่งนา แหล่งน้ำธรรมชาติ และพื้นที่ชุ่มน้ำ ซึ่งเชื่อมโยงกับวิถีชีวิตของผู้คนในภูมิภาคอย่างแนบแน่นมายาวนาน แหล่งอาหารตามธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ทั้งพืชผัก สัตว์น้ำ แมลง และสัตว์ป่าต่างๆ ถูกนำมาใช้เป็นอาหารตามฤดูกาลที่เกิดจากภูมิปัญญากับความรู้พื้นบ้านที่สั่งสมผ่านรุ่นสู่รุ่น ความหลากหลายทางอาหารเหล่านี้ หมุนเวียนเป็นแหล่งอาหารและโภชนาการที่สำคัญให้กับผู้คน อีกทั้งยังเป็นฐานของความมั่นคงทางอาหารและวัฒนธรรมของชุมชนท้องถิ่น1
หลายสิบปีมานี้ ความหลากหลายทางอาหารในภาคอีสานเผชิญกับภัยคุกคามจากหลายทิศทาง ทั้งจาก การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้ฤดูกาลเพี้ยนไป เกิดภาวะฝนทิ้งช่วง หรือฝนตกหนักผิดฤดูกาล ซึ่งทำให้การเติบโตของพืชพรรณธรรมชาติและการอพยพของสัตว์น้ำได้รับผลกระทบอย่างมาก2 รวมไปถึงจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม ทำให้ผัก ปลา และอาหารท้องถิ่นบางชนิดหายากขึ้น บางครั้งก็แทบจะไม่ได้กิน เพราะสภาพแวดล้อมไม่เอื้อให้เกิดและเติบโต หรือไม่ก็หายไปจากชุมชนเพราะถูกทำลายด้วยการเผาถาง ถมที่ ทำถนน สร้างบ้าน นอกจากนี้ การสร้างเขื่อน โดยเฉพาะในลุ่มน้ำโขง ทั้งในจีนและลาว ได้เปลี่ยนแปลงระบบนิเวศทางน้ำอย่างรุนแรง ระดับน้ำขึ้นลงไม่เป็นไปตามฤดูกาล ส่งผลให้พันธุ์ปลาน้ำจืดในแม่น้ำโขง เช่น ปลาเข็ง ปลายี่สก และปลาตะเพียน ลดจำนวนลงอย่างน่าเป็นห่วง3, 4 ขณะที่มีปลาหลายชนิดใกล้สูญพันธุ์ (Endangered - EN) ทั้งปลากระเบนราหู ปลากระเบนลาว ปลาเอินตาขาว และปลาสวาย ส่วนปลาที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ (Vulnerable - VU) ได้แก่ ปลาเสือตอลายเล็ก ปลาปากเปี่ยน ปลาพอน (นวลจันทร์) ปลาขี้โก๋ (กาแดงแม่น้ำมูล) เป็นต้น5 ขณะที่การบุกรุกป่าเพื่อขยายพื้นที่ทำเกษตรและการใช้สารเคมีอย่างเข้มข้นในภาคอีสาน ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ความหลากหลายของพืชพรรณและสัตว์ท้องถิ่นลดลง อีกทั้งยังเกิดการปนเปื้อนในแหล่งน้ำ ส่งผลกระทบต่อทั้งสุขภาพของชุมชนและระบบนิเวศโดยรวม6 นอกจากนี้ การสูญเสียพื้นที่ชุ่มน้ำตามธรรมชาติ อย่างทุ่งกุลาร้องไห้ หรือแม่น้ำสงคราม ซึ่งเป็นแหล่งอาหารธรรมชาติขนาดใหญ่ ก็ทำให้โอกาสการเข้าถึงแหล่งอาหารจากธรรมชาติลดลงไปอย่างมาก7, 8
วิถีชีวิตชุมชนในลุ่มแม่น้ำสงคราม จ. นครพนม
ภาพ: https://thecitizen.plus/node/60269
แม้จะเผชิญกับปัญหามากมาย ชุมชนและคนในภาคอีสานก็ไม่ได้อยู่นิ่งเฉย แต่ได้พยายามปรับตัวและฟื้นฟูระบบอาหารของตนเอง โดยในหลายพื้นที่ริเริ่มการจัดการป่าชุมชน ฟื้นฟูพันธุ์ไม้ท้องถิ่น และลดการพึ่งพาสารเคมี มีการจัดตั้งกลุ่มประชาสังคมที่เข้มแข็งในหลายพื้นที่ เช่น ในจังหวัดศรีสะเกษและบึงกาฬ ที่ชาวบ้านร่วมกันปลูกป่าบนพื้นที่เสื่อมโทรม เพื่อสร้างแหล่งอาหารธรรมชาติและป้องกันการพังทลายของดิน9 อีกทั้งยังมีการตั้งเขตอนุรักษ์พันธุ์ปลาในลำน้ำสาขา เช่น แม่น้ำมูล และแม่น้ำสงคราม เพื่อให้ปลาได้วางไข่และฟื้นฟู โดยอาศัยความร่วมมือของชาวบ้านในการเฝ้าระวังและจัดการทรัพยากรร่วมกัน10
ความหลากหลายทางอาหารในภาคอีสานจึงไม่ใช่เฉพาะประเด็นด้านทรัพยากรธรรมชาติเท่านั้น หากแต่เป็นเรื่องของวิถีชีวิต ความอยู่ดีกินดี วัฒนธรรม และสิทธิของชุมชนในการเข้าถึงและจัดการทรัพยากร การรักษาความหลากหลายเหล่านี้ นอกจากจะต้องอาศัยสำนึกของชุมชนต่อความเป็นเจ้าของทรัพยากรแล้ว ยังต้องพึ่งพาองค์ความรู้ และนวัตกรรมอีกมาก รวมไปถึงกลไกภาคส่วนต่างๆ ที่จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพและให้สิทธิชุมชนสามารถจัดการดูแลทรัพยากรด้วยตัวเอง เพื่อให้อีสานกลับมาเป็นพื้นที่ที่อุดมด้วยภูมิปัญญาและความมั่นคงทางอาหารได้อีกครั้ง
เอกสารอ้างอิง