ประเทศไทยเป็นที่อยู่อาศัยของประชากรที่มีปัญหาสถานะทางทะเบียน และไร้รัฐ ไร้สัญชาติมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก ข้อมูลจากกระทรวงมหาดไทยเมื่อเดือนกันยายน 2567 ระบุว่า บุคคลที่มีปัญหาสถานะ และไร้รัฐ ไร้สัญชาติ มีจำนวน 592,340 คน โดยในจำนวนนี้เป็นเด็กประมาณ 169,241 คน1 ขณะที่ตัวเลขไม่เป็นทางการจากบางแหล่งข้อมูลระบุว่า ประเทศไทยมีประชากรกลุ่มนี้มากถึง 1.5 ล้านคน ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากการอพยพย้ายถิ่นฐาน การแต่งงานข้ามพรมแดน การตกหล่นจากการสำรวจจัดทำทะเบียนราษฎร และการไม่แจ้งเกิด หากรัฐไทยเพิกเฉยกับปัญหานี้ ย่อมสูญเสียโอกาสที่จะนำพาทรัพยากรมนุษย์เหล่านั้นมาพัฒนาให้มีศักยภาพ เพื่อให้พวกเขาเข้ามาเป็นกำลังในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในอนาคตได้ อีกทั้งการเพิกเฉยต่อปัญหานี้จะบ่มเพาะสังคมไม่เท่าเทียม เนื่องจากประชากรกลุ่มหนึ่งถูกทิ้งให้อยู่นอกระบบสวัสดิการของรัฐ สร้างปัญหาสังคมในระยะยาว
จอร์โจ อากัมเบน (Giorgio Agamben) เคยเปรียบเปรยคนไม่มีสถานะทางกฎหมาย หรือคนไร้รัฐ ไร้สัญชาติ ไว้ใน Homo Sacer: Sovereign Power and Bare Life (1998)2 ว่าเป็น “ชีวิตที่เปลือยเปล่า” (bare life) ไม่มีกฎหมายคุ้มครอง เปรียบเสมือนร่างกายไม่มีเสื้อผ้าอันเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นมนุษย์มาปกปิดจึงเปราะบางต่อการถูกละเมิดสิทธิ ถึงแม้ “ถูกมองเห็น” แต่ “ไม่มีตัวตน” อยู่ในกฎหมายของรัฐที่อาศัยใช้ชีวิต ไร้ทั้งสถานะและสิทธิ คนที่มีปัญหาไร้สถานะทางทะเบียน หรือไร้รัฐ ไร้สัญชาติ ใช้ชีวิตประจำวันอย่างลำบาก ยากจน เข้าไม่ถึงสิทธิและสวัสดิการพื้นฐานจากรัฐ เช่น การรักษาพยาบาล การเดินทางออกนอกพื้นที่ ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการไปศึกษาต่อในระดับสูงขึ้น และจำกัดทางเลือกในการประกอบอาชีพ ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินทำกิน รถยนต์ มอเตอร์ไซด์ และที่อยู่อาศัย ไม่สามารถรับเงินชดเชย เงินกู้ยืม หรือเงินช่วยเหลือใดจากรัฐ ตลอดจนไม่มีสิทธิเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองทุกระดับ
รัฐบาลไทยพยายามลดจำนวนประชากรที่มีปัญหาไร้สถานะทางทะเบียนลง โดยใช้มติคณะรัฐมนตรี รวมทั้งปรับแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 ตัวอย่างเช่น มาตรา 7 ทวิ วรรคสอง แห่ง พระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 (แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551) ได้ให้สัญชาติไทยแก่เด็กที่เกิดในประเทศไทยจากพ่อแม่ที่ไม่มีสัญชาติไทย โดยเด็กเหล่านั้นอยู่อาศัยในประเทศไทยมาต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 10 ปี (บุคคลที่มีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยเลข 8) บัญญัติข้อนี้ เป็นกลไกทางกฎหมายที่ช่วยแก้ไขปัญหาเด็กไร้รัฐที่เกิดในไทย แต่ไม่ถูกบันทึกในระบบทะเบียนราษฎร เพราะไม่มีสิทธิได้รับสัญชาติไทยโดยอัตโนมัติ อย่างไรก็ตาม กระแสความคิดที่เน้นความมั่นคงของชาติเหนือกว่าความมั่นคงของมนุษย์ พบเสมอในผู้ปฏิบัติงานฝ่ายทะเบียนราษฎรและฝ่ายปกครองในท้องที่ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อความก้าวหน้าในเรื่องนี้ ส่งผลให้คนที่อยู่ในเกณฑ์ได้สัญชาติไทยตามบทบัญญัตินี้ ต้องเข้าสู่กระบวนการและขั้นตอนที่ยุ่งยาก อีกทั้งใช้เวลานานหลายปี
ที่ผ่านมาพบว่า ผู้ปฏิบัติงานในท้องที่จำนวนไม่น้อย ไม่อำนวยความสะดวกเท่าที่ควรแก่ประชาชนไร้สถานะทางทะเบียนที่มายื่นเรื่องขอพัฒนาสถานะบุคคล นอกจากการมีอคติกีดกันคนอื่น/คนที่ไม่ใช่คนไทยแล้ว การไม่ติดตามข่าวสารการเปลี่ยนแปลงในกฎหมาย มติคณะรัฐมนตรี และหลักเกณฑ์ใหม่ที่ประกาศใช้ ก็เป็นสาเหตุหลักอีกเรื่องหนึ่ง นอกจากนั้นผู้ปฏิบัติงานจำนวนไม่น้อยมีความวิตกกังวลเกินกว่ากฎหมายบัญญัติ จึงเพิ่มขั้นตอนและเรียกดูหลักฐานจากผู้ที่ยื่นขอสัญชาติเกินความจำเป็นเพื่อมาตรวจสอบ โดยอ้างเหตุผลว่ากลัวคนไม่เข้าเกณฑ์มาสวมสิทธิเป็นคนไทย รวมทั้งมีผู้ปฏิบัติงานบางกลุ่มในบางท้องที่เรียกรับผลประโยชน์ สิ่งเหล่านี้เป็นอุปสรรคสำคัญทำให้ผู้มีปัญหาไร้สถานะที่ถึงแม้มีหลักฐานยืนยันสิทธิที่จะได้สัญชาติไทยตามเกณฑ์ครบ เช่น เอกสาร พยานบุคคล และผลตรวจดีเอ็นเอหรือพันธุกรรม แต่ก็ไม่ได้รับสัญชาติไทยอยู่ดี หลายรายต้องจ่ายเงินในวงเงินที่สูงมากให้แก่ผู้ปฏิบัติงานที่เรียกรับผลประโยชน์เพื่อแลกกับการกระชับขั้นตอนและเวลาในการออกบัตรประชาชนให้ ขณะที่คนที่ไม่มีเงินจ่ายรู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง บางคนเสียชีวิตไปก่อนที่จะได้สัญชาติไทย เนื่องจากเจ็บป่วยร้ายแรง ความยากจนและไม่มีสิทธิเข้ารับการรักษาพยาบาลในระบบสามสิบบาทรักษาทุกโรค ทำให้คนเหล่านั้นไม่ไปรักษาตัวจนกระทั่งเสียชีวิต
มูลนิธิเพื่อสุขภาพและการแบ่งปัน (มสป.) เป็นองค์กรพัฒนาเอกชน ที่ทำงานสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพกลุ่มประชากรด้อยโอกาสในพื้นที่ชายแดนไทย-ลาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดอุบลราชธานี ได้ริเริ่มโครงการส่งเสริมสุขภาพและผลักดันสิทธิด้านสุขภาพของประชากรที่มีปัญหาสถานะทางทะเบียน ตั้งแต่ปี 2562 เนื่องจากพบว่า งานพัฒนาสุขภาพของประชากรในพื้นที่ชายแดน มีความเชื่อมโยงกับปัญหาไร้สถานะทางทะเบียน หรือความไร้รัฐ ไร้สัญชาติ มสป. จึงผลักดันงานส่งเสริมสุขภาพของคนในพื้นที่ชายแดนไปพร้อมกับการแก้ไขปัญหาความไร้สถานะทางทะเบียน เพื่อให้เข้าถึงสิทธิในการรักษาเมื่อเจ็บป่วย โดยใช้รูปแบบการทำงานขับเคลื่อนไตรภาคีที่ประกอบด้วย รัฐ-ชุมชน-เอ็นจีโอ
ในส่วนของชุมชน ได้จัดตั้งคณะทำงานชุมชนในระดับตำบล ประกอบด้วย กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อสม. ตัวแทนชาวบ้าน และแกนนำของบุคคลไร้สถานะทางทะเบียนในแต่ละหมู่บ้าน ให้มีบทบาทในการสำรวจ ค้นหา กลั่นกรอง ตรวจสอบประวัติและข้อเท็จจริงของบุคคลที่ไร้สถานะทางทะเบียน ให้ความรู้ทางกฎหมาย และแนะนำขั้นตอนต่างๆ ในการเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมาย เพื่อพัฒนาสถานะทางทะเบียนของตนเองและของสมาชิกในครอบครัว โดยเน้นความตรงและความถูกต้องของหลักฐานข้อมูลตามข้อเท็จจริงและสอดคล้องกับกฎหมาย
สำหรับภาครัฐ มีการดึงความร่วมมือจากสำนักบริหารทะเบียน ส่วนการทะเบียนราษฎร สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ สำนักงานประกันสุขภาพแห่งชาติ และหน่วยงานราชการในระดับจังหวัด เช่น สำนักยุติธรรมจังหวัด โรงพยาบาลศูนย์สรรพสิทธิประสงค์ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด โรงพยาบาลชุมชนในพื้นที่ชายแดน โดยผลักดันให้โรงพยาบาลศูนย์สรรพสิทธิประสงค์ ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานเก็บสิ่งส่งตรวจพันธุกรรมของผู้ที่เข้าสู่กระบวนการพิสูจน์สัญชาติ เพื่อส่งไปตรวจที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปตรวจดีเอ็นเอ และค่าตรวจ สำนักบริหารทะเบียนจากส่วนกลางมาร่วมจัดห้องเรียนออนไลน์ ให้ความรู้ และตอบข้อซักถามเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และข้อกฎหมาย ตลอดจนให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งให้คำปรึกษาเฉพาะกรณี มีการประสานขอความร่วมมือกับนายอำเภอและฝ่ายทะเบียนราษฎรในอำเภอชายแดนนำร่อง ได้แก่ อำเภอเขมราช และอำเภอนาตาล
ส่วนในภาคขององค์กรพัฒนาเอกชนหรือเอ็นจีโอ ได้แก่ มูลนิธิเพื่อสุขภาพและการแบ่งปัน (มสป.) และมูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย (มพศ.) ร่วมกันผลักดันการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย ประสานงานหาแหล่งทุนมาขับเคลื่อน รวมทั้งจัดเวทีพูดคุยระหว่างภาคี ตลอดจนสนับสนุนและเชื่อมช่องว่างระหว่างการบังคับใช้กฎหมาย และนโยบายที่เข้มงวดของเจ้าหน้าที่รัฐ และความต้องการด้านมนุษยธรรมของประชากรไร้สถานะทางทะเบียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้เข้าถึงสิทธิด้านการรับบริการสุขภาพตามสิทธิตน
“ที่ผ่านมาเดินทางไปไหนมาไหนก็ลำบาก ไปทำงานรับจ้างก็จำกัดพื้นที่เพราะไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน บอกไปใครก็ไม่เชื่อว่าเป็นคนไทย เขาก็มองว่าเราเป็นคนมาแบบผิดกฎหมาย ตอนป่วยก็ต้องอดทนให้ถึงที่สุดก่อน ค่อยไปหาหมอที่คลินิก เพราะได้รักษาง่ายกว่า ถ้าวันไหนไม่มีเงินจ่ายจะขอติดหนี้ไว้ก่อน หลายครั้งก็เอาเห็ด เอาหน่อไม้ไปใช้หนี้แทนค่ารักษา...แต่ตอนนี้มีบัตรประจำตัวประชาชนแล้ว เจ็บป่วยมาก็ไปโรงพยาบาล รู้สึกดีใจมาก ตื่นเต้นบอกไม่ถูก อธิบายไม่ได้ว่ามันดีใจขนาดไหน ไม่คิดว่าจะได้มีโอกาสเหมือนกับคนอื่น”
(การให้สัมภาษณ์ของผู้หญิงสูงอายุคนหนึ่งที่เคยเป็นคนไร้สถานะ) ข้อมูลจาก มสป.
ขอบคุณการทำงานของมูลนิธิเพื่อสุขภาพและการแบ่งปันและมูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย ทั้งสองหน่วยงานที่ร่วมกันขับเคลื่อนผลักดันให้คนไร้สถานะ ไร้รัฐ ไร้สัญชาติในชายแดนอีสานจำนวนหนึ่งที่มีสิทธิ ได้รับการพัฒนาสถานะตามกฎหมายและนโยบายเกี่ยวกับสัญชาติของรัฐบาล
ประเทศไทยยังมีประชากรไร้สถานะทางทะเบียนอีกจำนวนมากซึ่งถูกกีดกันจากสิทธิขั้นพื้นฐานและโอกาสทางเศรษฐกิจ หากไม่มีการแก้ไข รูปแบบการกีดกันนี้จะสืบทอดไปยังรุ่นถัดไปและบั่นทอนศักยภาพการพัฒนาของชาติ กลไกทางกฎหมายมีอยู่แล้ว แต่จำเป็นต้องเร่งปรับขั้นตอนปฏิบัติ เสริมทรัพยากร และสร้างความร่วมมือระหว่างรัฐ ชุมชน และเอ็นจีโออย่างเป็นระบบ การลงทุนแก้ปัญหานี้ไม่เพียงเติมเต็มหลักสิทธิมนุษยชนแต่ยังเป็นการเพิ่มทุนมนุษย์ให้ประเทศมีแรงงานที่มีทักษะ และมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ในการพัฒนาสังคมไทยในระยะยาว การแก้ไขปัญหาคนไร้สถานะแบบไตรภาคี: รัฐนำ-ชุมชนหนุน-เอ็นจีโอเสริม ได้คืนอาภรณ์กฎหมายให้คนเหล่านั้นได้รับการคุ้มครองทำให้มีความหวัง มีอนาคต และที่สำคัญที่สุดคือ ได้คืนมาซึ่งสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ การพัฒนาสถานะทางกฎหมายตามข้อเท็จจริงให้แก่คนไร้สถานะนั้นมีความสำคัญ และควรทำโดยไม่ชักช้า หากตรวจสอบแล้วเขามีสิทธิ พวกเขาต้องได้รับสิทธินั้นทันที ไม่ควรให้พวกเขาต้องรอโดยไม่รู้ว่าการรอจะสิ้นสุดเมื่อไร
ที่มา: มูลนิธิเพื่อสุขภาพและการแบ่งปัน
เอกสารอ้างอิง
1. https://www.unicef.org/thailand/th/endstatelessness?utm_source=chatgpt.com สืบค้นเมื่อ 15 พฤษภาคม 2568
2. Agamben, Giorgio. (1998). Homo Sacer: Sovereign Power and Bare Life. Stanford University Press. สืบค้นเมื่อ 15 พฤษภาคม 2568