“ขอเลื่อนดู TikTok อีกแป๊บเดียว”
“ดู Netflix ซักตอน เดี๋ยวค่อยนอน”
“งานยังไม่เสร็จ แต่สมองเพิ่งแล่นตอนตีสอง!”
ประโยคเหล่านี้สะท้อนพฤติกรรมที่พบได้ทั่วไปในหมู่คนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มวัยเรียนและวัยทำงานที่เริ่มชินกับการนอนดึก ตื่นสาย จนกลายเป็นวิถีชีวิตปกติไปแล้ว หลายคนอาจมองว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่อันที่จริง การเปลี่ยนแปลงนี้มีผลกระทบต่อสุขภาพมากกว่าที่คิด
วิถีการนอนของคนรุ่นใหม่……..ภัยเงียบใกล้ตัว
มนุษย์มีนาฬิกาชีวิต (circadian rhythm) ที่ควบคุมวงจรการหลับและตื่นตามแสงธรรมชาติ แต่วิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่อยู่กับเทคโนโลยี ใช้เวลากับหน้าจอในช่วงกลางคืน โดยเฉพาะมือถือและคอมพิวเตอร์ ทำให้ไปลดการหลั่งของ “เมลาโทนิน” ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยให้ร่างกายง่วงและเข้าสู่สภาวะหลับ การรับแสงสีฟ้าจากหน้าจอเพียง 2 ชั่วโมงก่อนนอน สามารถลดระดับเมลาโทนินลงได้มากถึง 22% ส่งผลให้หลับยาก หลับไม่ลึกและตื่นมาไม่สดชื่น1
ภาพ: https://www.freepik.com/
นอกจากผลของแสงแล้ว ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “การแก้แค้นด้วยการเลื่อนเวลาเข้านอนออกไป” (revenge bedtime procrastination)2 ก็มีบทบาทไม่น้อย คนยุคใหม่จำนวนมากรู้สึกว่า “ไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง” ตลอดทั้งวัน ไม่ว่าจะเพราะงาน เรียน หรือภาระในครอบครัว เวลากลางคืนจึงกลายเป็น “เวลาส่วนตัว” ที่ไม่อยากเสียไปกับการนอน แม้จะรู้ดีว่าพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า งานวิจัยโดย Kroese และคณะ (2016)3 พบว่า คนที่มีความเครียดจากงานและรู้สึกถูกจำกัดเวลาในชีวิตประจำวัน มีแนวโน้มจะเลื่อนเวลานอนออกไป แม้ว่าไม่มีเหตุผลสำคัญก็ตาม ซึ่งพฤติกรรมนี้ส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพจิตและร่างกายในระยะยาว
การนอนหลับไม่เพียงพอในเด็กและวัยรุ่นส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างรอบด้าน โดยมีความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อภาวะอ้วน โรคเบาหวาน การบาดเจ็บ สุขภาพจิตที่ย่ำแย่ รวมถึงปัญหาด้านสมาธิ พฤติกรรม และผลการเรียน จากคำแนะนำของ American Academy of Sleep Medicine4 เด็กอายุ 6–12 ปีควรนอนวันละ 9–12 ชั่วโมง และวัยรุ่นอายุ 13–18 ปีควรนอน 8–10 ชั่วโมงต่อวันเพื่อสุขภาพที่ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากการสำรวจพฤติกรรมเสี่ยงในเยาวชน (Youth Risk Behavior Surveys) ของ CDC เมื่อปี 2015 พบว่า เด็กมัธยมต้นใน 9 รัฐของสหรัฐฯ ถึง 57.8% มีพฤติกรรมนอนน้อยกว่าที่แนะนำ โดยบางรัฐมีอัตราสูงถึง 64.7% ขณะที่ในกลุ่มนักเรียนมัธยมปลายทั่วประเทศ มีสัดส่วนนอนน้อยพุ่งสูงถึง 72.7% โดยบางรัฐสูงสุดถึง 82.5%
ข้อมูลจาก Sleep Foundation (2023)5 พบว่า กลุ่ม Gen Z ในสหรัฐอเมริกา (อายุ 18–24 ปี) มีแนวโน้มเข้านอนหลังเที่ยงคืนสูงถึง 74% และมากกว่า 90% ใช้โทรศัพท์มือถือก่อนนอนทุกคืน โดยเฉลี่ยแล้ว คนอายุ 18–34 ปีนอนเพียง 6.5 ชั่วโมง/คืน ซึ่งต่ำกว่าคำแนะนำของแพทย์ที่แนะนำไว้ที่ 7–9 ชั่วโมง/คืน แม้การนอนดึกจะดูเหมือนไม่กระทบอะไรในระยะสั้น แต่หากเกิดขึ้นต่อเนื่องจะนำไปสู่ปัญหาสุขภาพหลากหลาย เช่น สมาธิลดลง ความจำแย่ลง อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เจ็บป่วยง่าย เสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เชื่อมโยงกับภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวล6
จากรายงานการสำรวจภาวะสุขภาพของนักเรียนในประเทศไทย พ.ศ. 2564 พบว่า มีเพียง 1 ใน 4 ของนักเรียนไทย (ร้อยละ 24.7) เท่านั้นที่นอนหลับอย่างน้อย 8 ชั่วโมงต่อวันในช่วงวันเรียน ซึ่งเป็นระดับขั้นต่ำที่แนะนำเพื่อสุขภาพที่ดีของวัยเรียน แม้จะไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างนักเรียนชายและหญิงในเรื่องของ "ระยะเวลาการนอน" แต่ประเด็นที่สำคัญและมักถูกมองข้าม คือ “คุณภาพการนอนหลับ” ซึ่งไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในการสำรวจดังกล่าว7
พฤติกรรมในชีวิตประจำวันของนักเรียน อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่กระทบต่อคุณภาพการนอน โดยเฉพาะพฤติกรรมเนือยนิ่ง (sedentary behavior) ซึ่งพบมากถึงร้อยละ 64.7 ของนักเรียนไทยใช้เวลาอยู่กับกิจกรรมประเภทนี้มากกว่า 3 ชั่วโมงต่อวัน เช่น การนั่งดูโทรทัศน์ เล่นเกมคอมพิวเตอร์ แชทกับเพื่อน หรือใช้โทรศัพท์มือถือ พฤติกรรมเหล่านี้มีแนวโน้มจะเกิดในช่วงเย็นถึงกลางคืน โดยเฉพาะในกลุ่มนักเรียนหญิง ซึ่งมีอัตราพฤติกรรมเนือยนิ่งสูงถึงร้อยละ 69.7 เทียบกับนักเรียนชายที่ร้อยละ 59.17 การใช้เวลากับหน้าจอมากในช่วงเวลาก่อนนอน อาจไปรบกวนจังหวะนาฬิกาชีวภาพของร่างกาย และรบกวนการหลั่งฮอร์โมนเมลาโทนิน ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการนอนหลับให้เป็นธรรมชาติ ส่งผลให้แม้เวลาการนอนจะเพียงพอในเชิงปริมาณ แต่คุณภาพการนอนอาจด้อยลง เช่น หลับยาก หลับไม่ลึก หรือตื่นมาไม่สดชื่น ซึ่งล้วนแล้วแต่มีผลกระทบต่อสุขภาพกายและจิตของนักเรียนในระยะยาวได้ ปัญหานี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในระดับนักเรียนเท่านั้น แต่ยังพบในกลุ่มนิสิตนักศึกษาเช่นกัน จากผลการสำรวจพฤติกรรมสุขภาพของนิสิตในมหาวิทยาลัย8 พบว่า ปัญหาการนอนหลับ เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเรียนควบคู่ไปกับความเครียดและปัญหาสุขภาพจิตอื่น ๆ สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างพฤติกรรมการใช้ชีวิต สุขภาพจิต และคุณภาพการนอน ที่ล้วนมีอิทธิพลต่อสมรรถภาพในการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพของเยาวชน
ปัญหาการนอนหลับของเด็กและเยาวชนในปัจจุบัน ไม่ใช่แค่เรื่อง “นอนดึก” หรือ “ตื่นสาย” แต่สะท้อนถึงพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ทั้งการใช้หน้าจอก่อนนอน ความเครียดจากภาระงาน หรือแม้แต่ความรู้สึกไม่มีเวลาส่วนตัว พฤติกรรมเหล่านี้ล้วนกระทบต่อทั้ง ปริมาณ และ คุณภาพการนอนหลับ ซึ่งมีผลต่อสุขภาพกายและจิตใจในระยะยาวอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น ครอบครัว โรงเรียน และสังคมควรร่วมกันส่งเสริมพฤติกรรมนอนหลับอย่างเหมาะสม เช่น ลดการใช้หน้าจอในเวลากลางคืน สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการนอน และอาจพิจารณาการปรับเวลาเริ่มเรียนให้เหมาะสมกับจังหวะชีวภาพของวัยรุ่น เพื่อสนับสนุนการนอนหลับที่เพียงพอและมีคุณภาพ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมพัฒนาการ การเรียนรู้ และสุขภาวะที่ดีในระยะยาว9
เอกสารอ้างอิง