วันหยุดยาวติดต่อกันหลายวันในเดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคมที่เพิ่งผ่านมา ทำให้ผมรู้สึกว่าวันเวลาของปีนี้ผ่านไปเร็วอย่างน่าใจหาย ถึงวันนี้เข้าเดือนมิถุนายนแล้ว หมายถึงว่าเวลาของปี 2568 ผ่านไปแล้วเกือบครึ่งปี กาลเวลาโบยบินไปเร็วจริงๆ
ผมเพิ่งเขียนบทความเรื่อง “สังคมสูงวัยระดับสุดยอด: ความท้าทายของประเทศไทยในอนาคตอันใกล้” ร่วมกับอาจารย์ศุทธิดา ชวนวัน และคุณกาญจนา เทียนลาย ใจความสำคัญของบทความนี้คือการมองภาพว่าประชากรไทยกำลังมีอายุสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเกินคาด ปี 2567 นี้ ประเทศไทยมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากถึง 13 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 20 ต่อประชากรทั้งหมด
เรียกได้ว่าประเทศไทยได้กลายเป็น “สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์” แล้ว พวกเราได้คาดประมาณว่า อีกไม่เกิน 10 ปีข้างหน้าประเทศไทยก็จะกลายเป็น “สังคมสูงวัยระดับสุดยอด” ที่มีสัดส่วนประชากรอายุ 65 ปี สูงถึงร้อยละ 20 ต่อประชากรทั้งหมดปัญหาที่ท้าทายอันเนื่องมาจากการสูงวัยของประชากรที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ น่าจะมีมากมาย อย่างเช่นปัญหาเรื่องการดูแลผู้สูงอายุที่อยู่ในสภาพช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ปัญหาเรื่องรายได้เพื่อใช้ในการยังชีพยามชราไม่เพียงพอในช่วงเวลาที่ผู้สูงอายุไม่ได้ทำงานแล้ว ปัญหาของผู้สูงอายุที่อยู่ตามลำพังคนเดียว ปัญหาการป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ปัญหาการเกิดภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุ
ผมเขียนเรื่องความท้าทายที่จะเกิดขึ้นเมื่อประเทศไทยเป็นสังคมสูงวัยระดับสุดยอดในอีกไม่กี่ปีข้างหน้ามาหลายครั้ง ผมได้แสดงความกังวลว่า สังคมที่มีผู้สูงอายุเป็นจำนวนและสัดส่วนที่สูงมากขึ้นนั้น จะเกิดเป็นภาระมากมายต่อทั้งตัวบุคคล ครอบครัว ชุมชน และรัฐ ในเรื่องเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุ ค่าใช้จ่ายในการยังชีพ รวมทั้งสวัสดิการและการสังคมสงเคราะห์ต่างๆ ที่จะให้แก่ผู้สูงอายุที่ยากจน ไร้ญาติขาดมิตร ดูจะมีแต่เรื่องที่น่าเป็นห่วงกังวล จนเหมือนกับว่าจะเกิดวิกฤตการณ์ที่ยากจะแก้ไขขึ้นในประเทศไทยในอนาคตอันใกล้นี้
ผมมองโลกในแง่ร้ายเกินไปหรือเปล่า ความจริงแล้ว ผมก็มีมุมที่มองสังคมสูงวัยในด้านดีอยู่เหมือนกัน สังคมสูงวัยระดับสุดยอดในอีกด้านหนึ่ง คงไม่เป็นปัญหาหนักหนาสาหัสอย่างที่ผมเป็นกังวล เรายอมรับกันว่าสังคมไทยมีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมมาตั้งแต่โบราณ มีช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน และช่องว่างนี้มีแนวโน้มที่จะกว้างขึ้นในอนาคต ผมเขียนถึงปัญหาการเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อที่จะเพิ่มอัตราสูงขึ้นเมื่อมีผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น ผู้สูงอายุที่ต้องนอนติดเตียงไม่สามารถช่วยตัวเองในการทำกิจวัตรประจำวันได้จะมีมากขึ้น ผู้สูงอายุที่มีอาการสมองเสื่อมจะเพิ่มมากขึ้น จะมีผู้สูงอายุที่อยู่ตามลำพังมากขึ้น ผู้สูงอายุที่ขาดคนดูแลมากขึ้น ผู้สูงอายุที่ยากจนมากขึ้น ฯลฯ
แน่นอนว่าผู้สูงอายุที่มีปัญหาต่างๆ จะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นแต่ก็แน่นอนเช่นกันว่า ผู้สูงอายุที่ไม่มีปัญหาก็จะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นในสังคมไทย
รูป: การร่วมกิจกรรมทางสังคมของผู้สูงอายุ
รูปโดย: สราวุธ ช่างสี
ผมคิดถึงภาพผู้สูงอายุทุกวันนี้กับผู้สูงอายุเมื่อ 50-60 ปีก่อน ผู้สูงอายุสมัยนั้นในสายตาของผมเป็นผู้ที่ “แก่ชรา” แล้ว การเคลื่อนไหวร่างกายจะลุกจะนั่งดูเชื่องช้า จำภาพคุณยายเดินหลังโกง นั่งตำหมาก เคี้ยวหมากปากแดง จำได้ว่าไม่เคยเห็นผู้สูงอายุจำนวนมากเดินขวักไขว่อยู่ในที่สาธารณะ แต่ทุกวันนี้เราจะเห็นผู้สูงอายุที่ยังกระฉับกระเฉง กระชุ่มกระชวยจำนวนมากปรากฏตัวอยู่ในที่สาธารณะ ผู้สูงอายุปะปนอยู่กับคนวัยอื่นๆ อย่างกลมกลืน สังคมไทยกำลังปรับตัวไปตามการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอายุของประชากร จากสังคมที่มีเด็กและคนหนุ่มสาวอยู่ดาษดื่น กลายเป็นสังคมที่มีเด็กๆ และวัยรุ่นน้อยลง เมื่อ 50 ปีก่อนเราจะเห็นผู้หญิงตั้งครรภ์อยู่ทั่วไป ไม่ว่าจะตามท้องถนนตลาด หรือบนรถเมล์ รถไฟ แต่เดี๋ยวนี้เราเกือบจะไม่เห็นภาพผู้หญิงท้องในที่สาธารณะเลย
เมื่อผมยังเป็นเด็ก คุณตาคุณยายอายุ 70-80 ปีขึ้นไปจะดูแก่มาก เดี๋ยวนี้ผมเห็นคนอายุ 70-80 ปีที่ดูไม่แก่เลย อาจเป็นเพราะผมมีอายุมากขึ้นจนเห็นคนรุ่นวัยเดียวกันไม่แก่หง่อมเป็นผู้เฒ่าชราเหมือนกับที่ผมมองตัวเองก็ได้ ผมมองดูว่าผู้เกษียณจากการทำงานที่อายุ 60 ปี ส่วนมากหรือเกือบทั้งหมดยังดูเป็นหนุ่มสาว หรืออย่างมากก็เเค่เป็นคนวัยกลางคน ยังไม่น่าจะเรียกว่าเป็นผู้สูงอายุเลย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 บัญญัติว่า “วัยชรา” หมายถึง “วัยที่ต่อจากวัยกลางคน อายุเกิน 60 ปี” ผมวิจารณ์ว่าพจนานุกรมให้ความหมายของคำว่า “วัยชรา” ล้าสมัยไปเสียแล้ว อายุ 60 ปีต้นๆ ไม่น่าจะเรียกว่าเป็นคนวัยชราอย่างแน่นอน
เพื่อนรุ่นวัยเดียวกับผม แม้จะมีบ้างที่สังขารร่วงโรยไป แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ยังมีสุขภาพดีและยังกระฉับกระเฉง ผมภูมิใจตัวเองว่ายังเป็น “ผู้สูงอายุที่มีพลังและยังประโยชน์” ผมยังทำงานได้ ช่วยตัวเองได้ในการทำกิจวัตรประจำวัน เด็กๆ รุ่นน้องหลายคนชมว่าผมเก่งที่ยังขับรถเองได้ ยังทำงานกับพวกเขาได้อย่างแข็งขัน ยังร่วมเดินทางไปกับพวกเขาได้โดยไม่เป็นภาระ เพื่อนรุ่นเดียวกับผมทั้งหญิงและชายส่วนใหญ่ยังมีสุขภาพดีและยังแข็งแรงเช่นเดียวกับผม
เพื่อนๆ ของผมที่ยังมีชีวิตอยู่มีกิจกรรมในช่วงสุดท้ายของชีวิตที่หลากหลาย หลายคนมีแนวคิดไปในทางเดียวกันว่าเราจะมีเวลาอยู่บนโลกนี้อีกไม่นาน แล้วเราก็จะลาจากโลกนี้ไป เพราะฉะนั้นเราจงทำอะไรที่คิดว่าจะก่อให้เกิดความสุขแก่ตัวเอง ทำในสิ่งที่เราอยากทำโดยไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน เพื่อนแต่ละคนมีกิจกรรมให้ทำแทบทุกวันจนไม่มีเวลาที่จะเหงา บางคนเข้าชมรมผู้สูงอายุที่เกษียณแล้ว รับประทานอาหารร่วมกับสมาชิกในชมรมเป็นประจำ จัดทัวร์ไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยว ทั้งในและนอกประเทศ เดินทางไปไหว้พระทำบุญตามวัดต่างๆ ชุมนุมกลุ่มเพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันตั้งแต่ชั้นมัธยม เรียนมหาวิทยาลัยและเพื่อนที่เคยทำงานด้วยกัน เพื่อนบางคนทำตัวเป็นเกษตรกรปลูกพืชผักสายพันธุ์ต่างๆ จนไม่เหลือพื้นที่ว่างรอบบ้าน เพื่อนบางคนฝักใฝ่การเมือง ติดตามข่าวสารการเมืองจนเรียกได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญการเมืองไทย เพื่อนคนหนึ่งสนใจกีฬากอล์ฟมาตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม ออกรอบตีกอล์ฟมานับเป็นหมื่นรอบ ถ้านับเป็นหลุมก็ต้องคูณจำนวนรอบด้วย 18 ก็น่าจะประมาณได้ว่าเพื่อนพัตต์ลูกลงหลุมมาแล้วไม่ต่ำกว่าแสนหลุม เพื่อนเป็นผู้เชี่ยวชาญกีฬาประเภทนี้จนได้รับเลือกตั้งให้เป็นนายกสมาคมนักกีฬากอล์ฟอาวุโสแห่งประเทศไทยหลายวาระติดต่อกัน เพื่อนคนหนึ่งใช้เวลาแต่ละวันไปพบแพทย์หลากสาขาตามโรงพยาบาลต่างๆ แวะกินอาหารมื้อเช้ามื้อกลางวันตามร้าน “ชวนชิม” นัดเพื่อนสารพัดกลุ่มนั่งจิบเบียร์คุยกัน แล้วกลับไปนอนบ้านเพื่อรอพบหมอในวันถัดไป เพื่อนคนหนึ่งช่วยภรรยาทำธุรกิจการค้าเจริญรุ่งเรือง สร้างสนามขี่ม้าให้หลาน และเฝ้ารอคอยดูชัยชนะในการแข่งขี่ม้าของหลาน เพื่อนสูงอายุบางคนมีสัตว์เลี้ยง เช่น แมว หมาเป็นลูก เพื่อนบางคนชอบไปร้องเพลงตามร้านอาหาร เพื่อนบางคนชอบดูหนังซีรีส์ทั้งของไทย เกาหลี จีน อินเดีย เป็นชีวิตจิตใจ เพื่อนหลายคนใช้เวลาส่วนใหญ่ในการคุยกับเพื่อนทาง “ไลน์ หรือเฟซบุ๊ก” เพื่อนกลุ่มนี้มีมือถือเป็นปัจจัยที่ห้าในการดำรงชีวิต
กิจกรรมในแต่ละวันของเพื่อนสูงอายุของผมที่ยกมาเป็นตัวอย่าง หลายอย่างผมไม่เคยเห็นผู้สูงอายุสมัยที่ผมยังเป็นเด็กประพฤติปฏิบัติกัน
การที่ประเทศไทยจะกลายเป็นสังคมสูงวัยระดับสุดยอดในอนาคตอันใกล้นี้ เมื่อมองในแง่ดีแล้ว เราก็พอเห็นว่าสถานการณ์ไม่น่าจะเลวร้ายถึงขั้นที่จะเรียกว่าเป็นภาวะวิกฤต แน่นอนว่าเมื่อเป็นผู้สูงอายุ วันหนึ่งก็จะถึงเวลาที่ต้องออกจากกำลังแรงงาน และไม่มีรายได้จากการทำงานประจำ ในขณะที่ผู้สูงอายุยังต้องมีภาระค่าใช้จ่ายเพื่อการดำรงชีพ และค่าใช้จ่ายเพื่อการดูแลรักษาสุขภาพของตน ผู้สูงอายุส่วนหนึ่งอาจจะประสบความยากลำบาก ถ้าไม่มีบำเหน็จบำนาญ เงินประกันชราภาพ ไม่มีเงินออมหรือรายได้จากทรัพย์สินหรือเงินที่เก็บออมไว้ ในสังคมไทยทั้งในปัจจุบันและอนาคต คงต้องมีผู้สูงอายุส่วนหนึ่งขาดแคลนรายได้ที่เพียงพอต่อการยังชีพ แต่คงมีผู้สูงอายุจำนวนมากทีเดียวที่มีเงินทองทรัพย์สินเพียงพอที่จะใช้จ่ายอย่างสบายใจไปตลอดชีวิต
เพื่อนรุ่นวัยเดียวกับผมหลายคนมีเงินเพียงพอที่จะใช้จ่ายอย่างมีความสุข ไม่ต้องเป็นห่วงลูกหลานที่มีงานอาชีพเลี้ยงตัวเองได้แล้ว เพื่อนบางคนไม่มีลูกหลานให้เป็นห่วง ผมสังเกตว่าเพื่อนๆ หลายคนชอบทำบุญทำทานและบริจาคเงินเพื่อการกุศลเพื่อนๆ หลายคนที่ยังมีสุขภาพแข็งแรงชอบที่จะเดินทางท่องเที่ยว ผู้สูงอายุยินดีที่จะจ่ายเงินซื้อสุขภาพและความสะดวกสบายให้กับตนเอง ดังนั้น ผลิตภัณฑ์สินค้าเพื่อสุขภาพ เช่น อาหารเสริมวิตามิน แร่ธาตุต่างๆ อุปกรณ์ช่วยผู้สูงอายุในการเคลื่อนไหว การนั่ง การนอน และอุปกรณ์ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้สูงอายุอย่างอื่นๆ น่าจะเป็นที่นิยมมากในตลาดผู้สูงอายุ
ธุรกิจการดูแลผู้สูงอายุน่าจะเฟื่องฟูมากในสังคมสูงวัยระดับสุดยอด ผมได้รับรู้เรื่องราวของลูกหลานที่ยินดีลงทุนจ่ายเงินเพื่อซื้อบริการดูแลพ่อแม่ในช่วงสุดท้ายของชีวิต มีทั้งจ้างคนมาดูแลที่บ้านหรือส่งพ่อแม่ไปอยู่สถานบริบาล ผมได้รับรู้เรื่องราวของผู้สูงอายุที่ไม่มีลูกหลานใช้เงินบำนาญหรือเงินที่เก็บออมมาจ่ายเพื่อได้รับบริการการดูแลเมื่อตนต้องนอนติดเตียงในระยะสุดท้ายของชีวิต
ในอนาคตผู้สูงอายุไทยที่สุขภาพดีน่าจะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขในสังคมสูงวัย ดังนั้นผมจึงอยากเชิญชวนให้คนรุ่นใหม่หันมารักตัวเอง สร้างตัวเองให้แข็งแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจ และสร้างความมั่นคงในด้านรายได้ เพื่อการมีชีวิตอยู่รอดอย่างมีความสุขในอนาคต