ผู้เขียนชวนผู้อ่านร่วมเดินทางไปสำรวจกันว่า การจดจำแบรนด์อาหารหวานมันเค็มได้มีผลต่อการกินอาหารเหล่านี้ของเด็กได้หรือไม่ และหากมีผลต่อการกินอาหารดังกล่าวแล้วมีผลอย่างไร
การบริโภคอาหารหวานมันเค็มเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วน1 เด็กไทยบริโภคอาหารหวานมันเค็มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เด็กไทยอายุ 6 – 14 ปี บริโภคเบเกอรี่ที่มีไขมันสูงทุกวันเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 90.4 ในปี 2560 เป็นร้อยละ 94.6 ในปี 2564 และบริโภคอาหารจานด่วนทุกวันจากร้อยละ 46.8 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 64.8 ในช่วงเวลาเดียวกัน2, 3 การสำรวจการกินอาหารหวานมันเค็มล่าสุดในปี 2567 ระบุว่า 9 ใน 10 คนของเด็กไทยอายุ 6-18 ปี กินขนมขบเคี้ยว เครื่องดื่มรสหวาน และ 8 ใน 10 คนของเด็กกกลุ่มนี้ยังกินอาหารกึ่งสำเร็จรูปด้วย4
ปัจจัยด้านการทำการตลาดด้วยแบรนด์เป็นหนึ่งในเทคนิคที่อุตสาหกรรมอาหารใช้ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและสร้างการจดจำอาหาร อันนำไปสู่การกระตุ้นให้เด็กต้องการบริโภคอาหาร5 ดังนั้น บทความนี้จึงต้องการค้นหาคำตอบว่า การจดจำแบรนด์อาหารหวานมันเค็มได้ มีผลต่อการกินอาหารดังกล่าวของเด็กไทยในเขตกรุงเทพฯ หรือไม่ ด้วยการสำรวจใช้แบบสอบถามกับเด็กไทยอายุุ 10-18 ปี ที่อาศัยอยู่ในเขตกรุุงเทพฯ จำนวน 236 คน และใช้สถิติในการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการจดจำแบรนด์อาหารหวานมัยเค็มและการกินอาหารเหล่านี้4
เกือบ 1 ใน 4 ของเด็กไทยในกรุงเทพฯ จดจำแบรนด์ขนมขบเคี้ยวได้มากที่สุด รองลงมาคือ เครื่องดื่มรสหวาน และของหวาน เช่น ไอศกรีม ช็อคโกแลต (รูปที่ 1)
รูปที่ 1 การจดจำแบรนด์อาหารหวานมันเค็ม
การวัดความรู้สึกของเด็กไทยที่มีต่อแบรนด์อาหารหวานมันเค็ม ผู้เขียนได้แบ่งความรู้สึกออกเป็น 5 ระดับ เรียงลำดับคะแนนจาก 1-5 คะแนน โดยระดับที่ 1 อารมณ์เสียเล็กน้อย (1 คะแนน) หมายถึง เด็กมีความรู้สึกไม่ชื่นชอบแบรนด์อาหารฯ มากที่สุด ระดับที่ 2 รู้สึกเป็นกลางหรือเฉยๆ หมายถึง เด็กมีความรู้สึกเป็นกลางกับแบรนด์อาหารฯ หรือไม่ได้รู้สึกชื่นชอบหรือไม่ชื่นชอบแบรนด์อาหารฯ ระดับที่ 3 ยิ้ม หมายถึง เด็กมีความรู้สึกชื่นชอบแบรนด์อาหารฯ ระดับที่ระดับที่ 4 ยิ้มกว้าง ซึ่งหมายความว่า เด็กมีความรู้สึกชื่นชอบแบรนด์อาหารฯ มาก และระดับที่ 5 รัก หมายถึง เด็กมีความรู้สึกชื่นชอบแบรนด์อาหารฯ มากที่สุด และผลการศึกษาพบว่า มากกว่า 3 ใน 4 ของเด็กไทยในกรุงเทพฯ ชื่นชอบหรือมีความรู้สึกทางอารมณ์เชิงบวกต่อแบรนด์อาหารหวานมันเค็ม โดยเกือบ 4 ใน 10 คนของเด็กไทยในกรุงเทพฯ ยิ้มกว้าง รองลงมาคือ ยิ้ม กล่าวคือ 3 ใน 10 คนของเด็กไทยในกรุงเทพฯ มีความรู้สึกชื่นชอบแบรนด์อาหารฯ และเด็กไทยในกรุงเทพฯ ประมาณ 2 ใน 10 คน รู้สึกเป็นกลางหรือเฉยๆ (รูปที่ 2)
รูปที่ 2 ความชื่นชอบแบรนด์อาหารหวานมันเค็มที่จดจำได้
การจดจำแบรนด์อาหารหวานมันเค็มสัมพันธ์กับการกินขนมขบเคี้ยว เครื่องดื่มรสหวาน และอาหารกึ่งสำเร็จรูป ของเด็กไทยในกรุงเทพฯ โดยเด็กที่จดจำแบรนด์อาหารหวานมันเค็ม ได้แก่ ขนมขบเคี้ยว เครื่องดื่มรสหวาน และอาหารกึ่งสำเร็จรูป กินอาหารเหล่านี้มากกว่าเด็กที่จำแบรนด์อาหารฯ ไม่ได้ ทั้งนี้อาจเพราะอาหารกลุ่มนี้มีการทุ่มงบทำการตลาดมากกว่าอาหารกลุ่มอื่นๆ จึงทำให้เด็กพบเห็นและจดจำแบรนด์อาหารฯ เหล่านี้ได้เป็นอย่างดี6 อย่างไรก็ตาม การจดจำแบรนด์อาหารฯ ไม่สัมพันธ์กับการกิน อาหารมื้อหลัก ของหวาน และนมและผลิตภัณฑ์จากนมที่มีรสหวาน เนื่องจากเด็กอาจกินอาหารเหล่านี้เป็นประจำโดยไม่ต้องจดจำแบรนด์ เพราะเป็นอาหารมื้อหลักหรือเป็นส่วนหนึ่งของมื้ออาหารที่ผู้ปกครอง หรือโรงเรียนจัดเตรียมให้ เช่น ข้าวและกับข้าวที่แม่จัดหาให้ นมที่โรงเรียนแจก7, 8 เด็กจึงไม่ได้มีโอกาสเลือกแบรนด์ได้เอง ซึ่งเป็นการจำกัดการเลือกกินอาหารตามแบรนด์นั่นเอง
เด็กไทยในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่จดจำและชื่นชอบแบรนด์อาหารหวานมันเค็ม และการจดจำแบรนด์อาหารฯ ได้ มีผลต่อการกินขนมขบเคี้ยว เครื่องดื่มรสหวาน และอาหารกึ่งสำเร็จรูป ประเทศไทยมีร่างพระราชบัญญัติการควบคุมการตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่มีผลกระทบต่อสุขภาพของเด็ก9 ซึ่งไม่ครอบคลุมการใช้แบรนด์อาหารหวานมันเค็มในการทำการตลาด ทั้งที่การจดจำแบรนด์อาหารฯ มีผลต่อการกินอาหารเหล่านี้ของเด็กไทยในกรุงเทพฯ ดังนั้น กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ควรกำหนดการควบคุมการแสดงแบรนด์อาหารฯ ในร่างพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าว เพื่อสร้างความยั่งยืนในการกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพของเด็กไทยในกรุงเทพฯ
หากคุณผู้อ่านต้องการทราบว่า ทำไมเด็กๆ ถึงจดจำแบรนด์อาหารฯ ได้? ผู้เขียนขอเชิญชวนให้ตามไปอ่านบทความเรื่อง “การจดจำแบรนด์: จุดเริ่มต้นของการเลือกกินอาหารของเด็ก” เพื่อเข้าใจเหตุผลและกลไกการจดจำแบรนด์อาหาร ของเด็กให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
เอกสารอ้างอิง