“ผมเป็นทหาร แฟนก็เป็นทหารครับ คบกันมาได้ 2 ปีแล้ว เขายศสูงกว่าแต่อยู่คนละกรมคนละจังหวัด พี่เขาก็เริ่มซื้อบ้าน ก็คุยกันอยู่เรื่องสิทธิถ้าเราจะจดทะเบียนกัน ก็รับราชการทั้งคู่ มองในอนาคตก็คิดว่าถ้าได้ใช้ชีวิตด้วยกันกับคนนี้ก็น่าจะดีครับ เพื่อนในกลุ่มก็เคยแซวอยู่ว่าแต่งกันได้อยู่กันได้แล้ว เมื่อไรจะถึงคิว”
(กอล์ฟ, อัตลักษณ์ชายรักชาย, สัมภาษณ์, 27 กันยายน 2567)
นับตั้งแต่วันแรกที่กฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผลบังคับใช้ 23 มกราคม 2568 สถิติการจดทะเบียนสมรสระหว่างคู่รักหลากหลายทางเพศทั่วประเทศ ณ วันที่ 30 เมษายน 2568 มีจำนวนรวมมากถึง 15,231 คู่ คิดเป็นประมาณร้อยละ 14.9 ของการจดทะเบียนสมรสทั้งหมด ในจำนวนนี้เป็นคู่ชาย-ชาย 3,753 คู่ คิดเป็นสัดส่วนประมาณหนึ่งในสี่ และประมาณสามในสี่เป็นคู่หญิง-หญิง หรือ 11,478 คู่ แม้ปรากฏการณ์นี้จะขัดกับภาพจำของสังคมที่คู่รักผู้หญิงดูเหมือนจะมองเห็นได้น้อยกว่าคู่รักผู้ชายในพื้นที่สาธารณะ แต่สอดคล้องกับผลการสำรวจที่พบว่าผู้หญิงมีแนวโน้มระบุตัวเองว่าเป็นเพศหลากหลายและมีวิถีทางเพศนอกขนบหรือนอกแบบแผนสังคมมากกว่าผู้ชายในเกือบทุกช่วงอายุ ขณะที่ผู้ชายดูเหมือนจะมีแรงกดดันจากความคาดหวังของสังคมให้คงบทบาทหน้าที่ของความเป็นชายสูงกว่า (กุลภา วจนสาระ และกฤตยา อาชวนิจกุล, 2568)
การตัดสินใจจดทะเบียนสมรสของคู่รักหญิงหญิงอาจสะท้อนให้เห็นถึงความพร้อมในการเปิดเผยตัวตนทางเพศและความสัมพันธ์ที่มั่นคงกับคนที่ใช่ เป็นแรงจูงใจให้สร้างครอบครัวและมีพันธะทางกฎหมาย คู่รักหญิงหญิงคู่หนึ่งในการสำรวจอธิบายความสัมพันธ์ที่อยู่ด้วยกันมากว่า 30 ปีว่าคือครอบครัว ที่การจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายไม่ใช่สิ่งจำเป็นหรือเป็นหลักฐานรับรองการอยู่ร่วมกัน คู่รักหญิงหญิงอีกคู่หนึ่งที่รักและอยู่ด้วยกันมากว่า 5 ปีเฝ้ารอวันที่จะจูงมือไปจดทะเบียนและจัดพิธีแต่งงานเล็กๆ ในครอบครัว และอีกคู่หนึ่งก็ตั้งใจจะจดทะเบียนสมรสหลังจากอยู่ด้วยกันมากว่า 20 ปี เพื่อให้คู่ชีวิตได้รับสิทธิในการดูแลและคุ้มครองตามกฎหมาย
“หนูมีแฟนเป็นผู้หญิง ถ้าแต่งงานหรือจดทะเบียนกันได้ มันจะทำให้ชีวิตเราดีขึ้น อนาคตหนูกับเขาอยากแต่งงาน อยากเก็บเงินแล้วก็แต่งให้มันถูกต้อง แล้วเราก็จะซื้อรถซื้อบ้าน อีกอย่างหนูทำประกันหนูก็อยากให้เขาได้สิทธิด้วย สิทธิบางอย่างเป็นแค่แฟนกันมันก็ไม่ได้”
(โม, อัตลักษณ์ไบเซ็กชวล, สัมภาษณ์, 25 กันยายน 2567)
“บ้านที่อยู่นี่ก็มีทะเบียนบ้านเป็นชื่อเราสองคน เราเป็นเจ้าบ้าน เขาเป็นคนอยู่อาศัย เราอยู่กันแบบนี้มา 20 ปีแล้ว มีความสุขก็อยู่กันไป คุยกันไว้แล้วว่าจะไปจดทะเบียน ถ้าเกิดเราเป็นอะไรไปเขาก็จะไม่ได้อะไรเลย ทั้งเงินสำรองเลี้ยงชีพ ประกันชีวิต ไม่สบายเขาก็ไม่มีสิทธิ”
(มน, เพศกำเนิดหญิง อัตลักษณ์ชาย, สัมภาษณ์, 7 ตุลาคม 2567)
การแต่งงานหรือจดทะเบียนสมรสหมายถึงสถานภาพทางกฎหมายที่รัฐรับรองให้กับคู่สมรสทุกเพศสภาพในฐานะพลเมืองเท่าเทียมกัน สะท้อนให้เห็นว่าแนวคิดเรื่องเพศวิถี “ปกติ” ของสังคมไทยได้เปลี่ยนนิยามความหมายไปแล้ว จากที่เคยอิงอยู่กับบรรทัดฐานรักต่างเพศ (heteronormativity) ก็ได้เปิดพื้นที่ให้กับความหลากหลายทางเพศ มองเห็นอัตลักษณ์ที่ไม่เป็นไปตามขนบสังคม และรับรู้ว่าวิถีทางเพศของคนนั้นเลื่อนไหลไม่ตายตัวและไม่ได้เป็นเรื่องเพศชาย-หญิงหรือรักต่างเพศเพียงเท่านั้น การได้เห็นชื่อของคู่ชีวิตในทะเบียนบ้าน ทะเบียนสมรส หรือในเอกสารทางกฎหมาย มิได้เป็นเพียงเรื่องของ “สิทธิ” ที่เท่าเทียมตามกฎหมายเท่านั้น แต่ยังเป็นหลักฐานทางสังคมว่ารัฐไทยได้มองเห็นและรับรองรูปแบบความสัมพันธ์ของพวกเขาไว้ใน “ความปกติใหม่” ของสังคมแล้ว
บทสนทนาของคู่รักหลากหลายทางเพศที่ตั้งใจจะจดทะเบียนสมรสสะท้อนความหวัง ความรัก และความปรารถนาในชีวิตที่ “เท่ากัน” บนพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ สำหรับหลายคู่ การจดทะเบียนสมรสคือเครื่องยืนยันความรัก ความผูกพัน และการมีที่ทางในฐานะพลเมืองของสังคม ขณะที่อีกหลายคู่ ทะเบียนสมรสหมายถึงคำมั่นสัญญาของกันและกันในการสร้างครอบครัว แม้บทบาทในครอบครัวของหลายคู่จะยังคงอิงอยู่กับแบบแผนของคู่ชีวิตต่างเพศ ครอบครัวชายรักชาย ที่กะเทยหรือสาวประเภทสองทำหน้าที่ดูแลความสะอาด ซักผ้ารีดผ้า และอาหารการกินในบ้าน ขณะที่ผู้ชายออกไปทำงานนอกบ้าน หรือครอบครัวหญิงรักหญิง ที่ผู้ที่มีอัตลักษณ์เป็นทอมหรือชายข้ามเพศมีบทบาทและตัดสินใจทางเศรษฐกิจ ขณะที่คู่ดูแลรับผิดชอบความเรียบร้อยภายในบ้าน แต่ไม่ว่าจะแบ่งบทบาทหน้าที่รับผิดชอบในชีวิตกันอย่างไร พวกเขาต่างกำลังสร้างครอบครัวในคำจำกัดความของตัวเอง
กระดาษทะเบียนสมรสจึงไม่ใช่แค่เอกสารฉบับหนึ่ง หากเป็นบทสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจ กฎหมาย อัตลักษณ์ และความรักของผู้คนทุกเพศสภาพในสังคมไทย
เอกสารอ้างอิง