สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรของไทย โดยเฉพาะการเป็นสังคมสูงอายุที่เพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่อง ขณะที่จำนวนเด็กเกิดใหม่กลับลดลงทุกปี กำลังกลายเป็นวาระสำคัญที่ได้รับความสนใจจากทุกภาคส่วน ประเทศไทยได้กลายเป็น สังคมสูงอายุโดยสมบูรณ์ (completely aged society) ตั้งแต่ปี 2567 โดยมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปคิดเป็น 1 ใน 5 ของประชากรทั้งหมด และปีเดียวกันนั้นยังเป็นปีแรกในรอบ 75 ปีที่ จำนวนเด็กเกิดใหม่ต่ำกว่า 5 แสนคน
สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ติดตามข้อมูลการเกิดมาโดยตลอด และจัดแถลงข่าวสถานการณ์ประชากรทุกต้นปี โดยใช้ตัวเลขจำนวนประชากรของสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครองที่เผยแพร่ในช่วงปลายปีที่ผ่านมาเป็นข้อมูลสำคัญในการวิเคราะห์สถานการณ์ อย่างไรก็ตาม ในช่วงกลางปีเช่นตอนนี้ (กรกฎาคม 2568) เราก็สามารถประเมินแนวโน้มประชากรเบื้องต้นจากข้อมูลเดือนมกราคม–มิถุนายน ได้แล้ว
ข้อมูลล่าสุดจากเว็บไซต์สำนักบริหารการทะเบียนระบุว่า ในครึ่งปีแรกของ 2568 มีเด็กเกิดใหม่ 201,175 คน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2567 ที่มี 221,933 คน หรือประมาณ 9.4 % ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตในช่วงเดียวกันของปีนี้อยู่ที่ 282,582 คน ลดลงจากปีก่อนหน้าเล็กน้อย (4%) ซึ่งหมายความว่า แม้การตายจะลดลง แต่การเกิดลดลงเร็วและแรงกว่า หากแนวโน้มยังคงเช่นนี้ไปจนถึงสิ้นปี จำนวนเด็กเกิดใหม่ในปี 2568 ทั้งปี ตั้งแต่เดือนมกราคม ถึงธันวาคม อาจลดลงมาอยู่ที่ราว 400,000 กว่าคน (ซึ่งผู้เขียนคิดว่ายังไม่น่าจะต่ำกว่า 400,000 คน ) และประชากรรวมของประเทศจะยังคงลดลงจากจำนวนการตายที่มากกว่าการเกิด
ปรากฏการณ์ "เกิดน้อย" ที่ลดลงอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง เช่นนี้ ได้ก่อให้เกิดความกังวลถึงผลกระทบในหลายด้าน จนทำให้คำว่า “วิกฤตประชากร” หรือ “วิกฤตเกิดน้อย” ปรากฏในพื้นที่สาธารณะบ่อยขึ้น ทั้งที่ในอีกมุมหนึ่ง การมีเด็กเกิดน้อยลงอาจเป็น “โอกาส” ให้ประเทศได้ลงทุนในการพัฒนาคุณภาพของคน และลดแรงกดดันต่อสิ่งแวดล้อมทั้งในด้านการบริโภค ทรัพยากร และการผลิตของเสีย ผู้เขียนขอเชิญชวนผู้อ่านให้ลองเปิดมุมมองใหม่ ผ่านบทวิเคราะห์เรื่อง “เกิดน้อยกู่ไม่กลับ ต้องปรับและรับมืออย่างไร” ในรายงานสุขภาพคนไทย 2568 ที่สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมจัดทำกับ สสส. (ดูเพิ่มเติมได้ที่ www.thaihealthreport.com)
เนื่อง ใน วันประชากรโลก วันที่ 11 กรกฎาคมที่ผ่านมา กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) ได้เผยแพร่รายงาน State of World Population 2025 ภายใต้หัวข้อ “The Real Fertility Crisis” หรือ “วิกฤตการเจริญพันธุ์ที่แท้จริง” ซึ่งต้องการสะท้อนว่า แม้อัตราการเกิดที่ลดลงต่อเนื่องในหลายประเทศ รวมถึงไทย จะดูเป็นวิกฤต แต่แท้จริงแล้ว สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าคือ การที่คนหนุ่มสาวจำนวนมาก อยากมีลูกแต่ไม่สามารถมีได้ (อ่านรายงานได้ที่ https://www.unfpa.org/swp2025)
รูป: (ซ้าย) หน้าปก “รายงานสุขภาพคนไทย 2568” โดยสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับ สสส. (ขวา) หน้าปก “รายงาน State of World Population 2025” โดยกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA)
ข้อมูลในรายงานชี้ว่า 1 ใน 5 ของประชากรโลกไม่สามารถที่จะมี ลูกได้ตามที่ต้องการ โดยมีสาเหตุมาจากต้นทุนการเลี้ยงดูและค่ารักษาพยาบาลที่สูง ความไม่มั่นคงด้านอาชีพ และการขาดโอกาสในการพบคู่ชีวิตที่เหมาะสม จึงนำมาสู่ข้อเสนอสำคัญว่า แทนที่จะเร่งเพิ่มจำนวนการเกิดเพียงอย่างเดียว ควรสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อ “การตัดสินใจที่เป็นอิสระ” ของแต่ละคน ในการจะมีหรือไม่มีลูก ตามความสมัครใจ กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ ทำให้แน่ใจว่าการที่คนในประเทศจะตัดสินใจมีลูก หรือไม่มีลูกนั้น เป็นผลจากความต้องการและการตัดสินใจของแต่ละคน หรือแต่ละคู่ชีวิตที่ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยเงื่อนไขข้อจำกัดทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นได้ แม้จำนวนการเกิดในประเทศจะยังคงลดลง ก็อาจไม่ใช่ปัญหาที่ต้องกังวล
ในรายงานฉบับเดียวกันนี้ยังระบุว่า เขตปกครองพิเศษมาเก๊าและฮ่องกง รวมถึงเกาหลีใต้ มีอัตราเจริญพันธุ์รวม (TFR) ต่ำที่สุดในโลก เพียง 0.7–0.8 คนต่อหญิงหนึ่งคน ในขณะที่ประเทศไทย จากจำนวนการเกิดในปี 2567 ที่ผ่านมา สถาบันฯ คำนวณ TFR ได้อยู่ที่ 1.03 และหากจำนวนเกิดในปี 2568 ลดลงไปอีก TFR ของไทยอาจต่ำกว่าระดับ 1.0 เป็นครั้งแรก ซึ่งจะสอดคล้องกับผลคาดประมาณประชากรในเอกสาร “สารประชากร มหาวิทยาลัยมหิดล” ของสถาบันฯ ที่คาดว่า TFR ปีนี้อาจจะอยู่ที่เพียง 0.93 ! (อ่านสารประชากร มหาวิทยาลัยมหิดลได้ที่ https://ipsr.mahidol.ac.th/population-gazette/)
ปรากฏการณ์เกิดน้อยที่ชัดเจนยิ่งขึ้นในปี 2568 แม้จะถูกมองว่าเป็นวิกฤต แต่ก็อาจเป็น “โอกาส” สำคัญในการปรับนโยบายสังคมและเศรษฐกิจ ให้เอื้อต่อการตัดสินใจมีลูกของคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง ลดข้อจำกัด และลงทุนกับคุณภาพมากกว่าปริมาณ ซึ่งจะนำไปสู่สังคมที่ยั่งยืนและสมดุลในระยะยาว
แม้จำนวนการเกิดของไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 จะยังลดลงไปอีก แต่ในอีกด้านหนึ่ง นี่คือ “จุดเปลี่ยน” ที่สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการปรับนโยบายเศรษฐกิจและสังคมให้ตอบโจทย์ชีวิตคนรุ่นใหม่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความมั่นคงในการทำงาน การเข้าถึงบริการสาธารณะ หรือคุณภาพชีวิตของครอบครัว หากสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการตัดสินใจมีลูกอย่างเสรีและมีคุณภาพ ปรากฏการณ์เกิดน้อยอาจไม่ใช่ปัญหา หากแต่เป็นโอกาสในการยกระดับโครงสร้างสังคมไทยให้ก้าวสู่อนาคตอย่างยั่งยืน
รูป: หน้าแรก “สารประชากร มหาวิทยาลัยมหิดล ประชากรของประเทศไทย พ.ศ. 2568” โดยสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล