ประเทศไทยเคยมีจำนวนเด็กเกิดมากกว่า 1 ล้านคนต่อปีในช่วงระหว่างปี 2506-2526 จนถูกเรียกว่าเป็น “รุ่นเกิดล้าน” แต่ผ่านไปเกือบ 40 ปี ในปี 2564 ประเทศไทยมีจำนวนเด็กเกิดน้อยกว่าจำนวนการตายเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ นับเป็นจุดเริ่มต้นของภาวะประชากรหดตัวที่กำลังส่งผลกระทบในหลายมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และแรงงาน ต่อเนื่องมาในปี 2567 ประเทศไทยมีจำนวนเด็กเกิดต่ำกว่า 500,000 คนต่อปีเป็นครั้งแรกขณะเดียวกัน อัตราเจริญพันธุ์รวมก็ลดลงอย่างต่อเนื่องตลอดหลายทศวรรษจนเหลือเพียง 1.0 คนต่อผู้หญิงหนึ่งคนในปีเดียวกันปรากฎการณ์นี้สะท้อนว่าประเทศไทยได้เข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านทางประชากร โดยจำนวนประชากรกำลังเริ่มลดลงอย่างช้าๆ จากอัตราการเพิ่มประชากรที่อยู่ในระดับติดลบ ทั้งจากการเกิดที่ลดลงและอัตราการตายที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของประชากร
ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยมีอัตราเพิ่มประชากรต่ำที่สุด ขณะที่สิงคโปร์แม้จะมีอัตราเจริญพันธุ์รวมต่ำที่สุดเพียง 0.97 ในปี 2567 แต่กลับมีอัตราเพิ่มประชากรสูงสุดถึง 4.86 ซึ่งมาจากการเพิ่มขึ้นของแรงงานข้ามชาติและผู้ย้ายถิ่น โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับสถานะผู้มีถิ่นที่อยู่ถาวร (Singapore Permanent Resident) หรือได้รับสัญชาติในภายหลัง ที่ผ่านมาสิงคโปร์มีความพยายามในการส่งเสริมการเกิดมาตั้งแต่ปี 2544 ผ่านแผนงานส่งเสริมการเกิด เช่น นโยบายฺBaby Bonus Scheme และ Marriage & Parenthood Package ที่ให้เงินช่วยเหลือแก่ครอบครัวที่มีบุตรเป็นจำนวนเงินประมาณ 200,000 – 300,000 บาทต่อคน รวมไปถึงการลงทุนด้านคุณภาพชีวิตเด็กอย่างจริงจังผ่านนโยบาย Child Development Account ที่ช่วยสมทบเงินในบัญชีของเด็กเพื่อนำไปใช้ในด้านการศึกษาและสุขภาพ อย่างไรก็ตาม สิงคโปร์ยังคงประสบกับภาวะเกิดน้อยและแต่งงานน้อย โดยในปี 2566 มีเด็กเกิดเพียง 28,877 ราย เพื่อลดผลกระทบจากกำลังแรงงานที่ลดลง สิงคโปร์จึงเปิดรับแรงงานและพลเมืองใหม่พร้อมควบคุมจำนวนผู้มีถิ่นที่อยู่ถาวรและพลเมืองใหม่อย่างเข้มงวดเพื่อรักษาสมดุลทางสังคม แนวทางของสิงคโปร์สะท้อนถึงการบริหารจัดการเชิงรุกที่แม้จะเพิ่มการเกิดไม่ได้ แต่สามารถรักษาอัตราการเติบโตของประชากรผ่านการจัดการด้านการย้ายถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ญี่ปุ่นเผชิญภาวะอัตราการเกิดลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2516 และในปี 2567 มีเด็กเกิดเพียง 686,061 คน ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ ขณะที่อัตราเจริญพันธุ์รวมลดเหลือ 1.15 สถานการณ์นี้ถูกเรียกว่า ภาวะฉุกเฉินเงียบ (silent emergency) เนื่องจากส่งผลกระทบรุนแรงต่อกำลังแรงงานในอนาคต แม้ญี่ปุ่นจะออกนโยบายส่งเสริมการมีบุตร เช่น การขยายวันลาหยุดเพื่อเลี้ยงดูบุตร และเงินอุดหนุนการคลอด รวมไปถึงการให้ความสำคัญกับการศึกษา เช่น การศึกษาปฐมวัยฟรี การส่งเสริมศูนย์เด็กเล็ก และการเลี้ยงดูเชิงบวก แต่ก็ยังไม่สามารถเพิ่มอัตราการเกิดได้ ในอีกด้าน ญี่ปุ่นส่งเสริมให้ผู้หญิงทำงานนอกบ้าน และขยายอายุการจ้างงาน โดยตั้งแต่เดือนเมษายน 2568 นายจ้างทุกรายต้องจ้างพนักงานจนถึงอายุ 65 ปี นอกจากนี้ ยังมีมาตรการจูงใจนายจ้างให้จ้างงานต่อถึงอายุ 70 ปี โดยมีบริษัท Meiji Yasuda Life Insurance เป็นองค์กรนำร่องขยายอายุเกษียณเป็น 70 ปี นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังรับแรงงานต่างชาติระดับทักษะต่ำถึงกลางเพิ่มขึ้น และแรงงานทักษะสูงก็สามารถขอพำนักถาวรได้ภายใต้ระบบวีซ่า “Highly Skilled Professional” ทำให้ในปี 2567 มีแรงงานต่างชาติรวม 2.3 ล้านคน หรือร้อยละ 3 ของกำลังแรงงาน ญี่ปุ่นยังดำเนินแนวทางเศรษฐกิจแบบปรับตัวต่อภาวะประชากรลดลงที่เรียกว่า Shrinkonomics โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลควบคู่กับการจ้างงานผู้สูงอายุ พร้อมขับเคลื่อนนโยบาย Society 5.0 ที่มุ่งสร้างสังคมอัจฉริยะผ่านการบูรณาการปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Internet of Things (IoT) เช่น หุ่นยนต์ดูแลผู้สูงอายุ และระบบ AI ติดตามผู้ป่วย เพื่อรองรับโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
รูป: ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลควบคู่กับการจ้างงานผู้สูงอายุ
ที่มา: https://chatgpt.com/c/6877002f-5160-800c-a22b-896d30f02100
สืบค้นเมื่อ 16 กรกฎาคม 2568
บทเรียนจากสิงคโปร์และญี่ปุ่นสะท้อนว่า แม้จะมีนโยบายส่งเสริมการเกิด แต่ก็ยังไม่เพียงพอ ทั้งสองประเทศจึงยังให้ความสำคัญกับการลงทุนในคุณภาพชีวิตของการเกิดควบคู่กันไป เช่น การสนับสนุนการศึกษาปฐมวัย และการเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับเด็กในแต่ละช่วงวัย ขณะเดียวกัน การนำเข้าแรงงานต่างชาติและให้สิทธิพำนักถาวรในกลุ่มแรงงานทักษะสูง รวมถึงการขยายอายุการทำงาน และการพัฒนาเทคโนโลยี เป็นแนวทางรองรับแรงงานในอนาคต ประเทศที่ออกแบบนโยบายแบบบูรณาการส่งเสริมการเกิดอย่างมีคุณภาพและปรับปรุงการจ้างงานจะมีความได้เปรียบในการปรับตัวกับภาวะประชากรลดลง