The Prachakorn

การก่อตั้งสมาคมส่งเสริมการเกิดแห่งประเทศไทย


อภิชาติ จำรัสฤทธิรงค์

05 สิงหาคม 2568
109



ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาวิกฤตประชากรอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน คนไทยจำนวนมากรู้สึกว่าต้องอยู่ในระบบนิเวศที่เศรษฐกิจและสังคมไม่เอื้อต่อการมีบุตร อัตราการเจริญพันธุ์รวม (Total Fertility Rate: TFR) ได้ลดลงมาอยู่ที่ 1.0 และประเทศไทยกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่ประชากรลดลงในสัดส่วนที่สูงที่สุดในโลก ปัญหานี้ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องของจำนวนประชากรเท่านั้น แต่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม แรงงานและความมั่นคงของประเทศในระยะยาว หากไม่มีมาตรการใดๆ ที่เพียงพอในการแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าว ภายในปี พ.ศ. 2573-2577 ประเทศไทยจะเข้าสู่ “สังคมสูงอายุระดับสุดยอด” โดยมีประชากรสูงอายุเกินกว่า 28% ของประชากรทั้งหมด ส่งผลให้จำนวนแรงงานลดลงอย่างมาก และกลุ่มคนวัยทำงานที่มีหน้าที่เสียภาษีและดูแลประชากรสูงวัยจะลดน้อยลงอย่างรวดเร็วในรายงาน State of World Population 2025: The Real World Crisis สหประชาชาติ ถึงกับใช้คำว่า “ประชากรล่มสลาย” (Population Collapse) ซึ่งสะท้อนถึงความรุนแรงของปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้นในโลก

ประเทศไทยแม้จะมีลักษณะเดียวกับประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศที่กำลังเผชิญกับปัญหานี้ แต่สิ่งที่แตกต่างคือ ประเทศไทยยังไม่สามารถหลุดพ้นจาก “กับดักประเทศรายได้ปานกลาง” ได้ นั่นหมายความว่า ความสามารถในการรองรับและเยียวยาผลกระทบจากโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลงไปมีข้อจำกัดมากกว่า จึงนับเป็นวิกฤตที่มีความเฉพาะเจาะจงและเร่งด่วนอย่างยิ่ง

ความท้าทายของการแก้ปัญหาเด็กเกิดน้อย

แม้ว่าภาครัฐจะมีความพยายามในการแก้ไขปัญหานี้ผ่านนโยบายและโครงการต่างๆ แต่ก็ยังไม่สามารถตอบสนองและแก้ไขได้อย่างมีประสิทธิผลด้วยเหตุผลหลายประการ:

  1. ระดับนโยบายของประเทศถือว่าไม่สูงพอ แม้ว่าในบางครั้งถือว่าเรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ แต่การขับเคลื่อนนโยบายยังจำกัดอยู่ในระดับกระทรวง เช่น กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ไม่มีการยกระดับการสั่งการ (transfer of command) ขาดการบูรณาการและการจัดการเด็ดขาดในระดับนายกรัฐมนตรีที่สามารถกำหนดนโยบายแบบองค์รวมและสั่งการข้ามกระทรวงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีส่วนร่วมของกระทรวงการคลังที่มีบทบาทสำคัญในเชิงงบประมาณ
  2. สมาคมด้านประชากรและองค์กรระหว่างประเทศที่เคยมีบทบาทสำคัญในการควบคุมประชากรในอดีตยังคงติดอยู่กับกรอบความคิดเดิมคือการจำกัดการเกิดและส่งเสริมอนามัยเจริญพันธุ์ไม่ได้ปรับตัวให้สอดรับกับสถานการณ์ประชากรที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม UNICEF ได้มีบทบาทสำคัญและเป็นองค์กรหนึ่งที่ผลักดันให้มีการให้เงินช่วยเหลือบุตรเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงแก่ครอบครัว 
  3. ความสนใจและบทบาทในการแก้ไขปัญหาของภาคประชาสังคมและภาคเอกชน องค์กรธุรกิจ ตลอดจนรัฐวิสาหกิจ องค์กรมหาชน และองค์กรทางศาสนายังอยู่ในระดับต่ำหรือแทบไม่มีเลย เมื่อเทียบกับความสำคัญของปัญหา และยังขาดการเชื่อมโยงและความร่วมมือระหว่างกันอย่างมีประสิทธิภาพ

การก่อตั้งสมาคมส่งเสริมการเกิดแห่งประเทศไทย

การก่อตั้ง “สมาคมส่งเสริมการเกิดแห่งประเทศไทย” เป็นข้อเสนอเชิงนโยบายและกลไกใหม่ที่จะเข้ามาเติมเต็มบทบาทที่ภาครัฐและองค์กรที่ยังไม่สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมและโครงสร้างที่เอื้อต่อการมีบุตรของคนไทยในยุคปัจจุบันและอนาคต

รูป 1: ศาสตราจารย์ ดร. เตียง ผาดไธสง 
จากภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชนคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้ได้แจ้งเตือนอันตราย
ของการลดลงของประชากรไทย ไว้เมื่อสามสิบปีมาแล้ว
ที่มา: https://bookpanich.com สืบค้นเมื่อ 20 กรกฎาคม 2568

วัตถุประสงค์หลักของสมาคม

  1. เสริมรัฐ: สมาคมจะทำหน้าที่เสริมสร้างการรณรงค์เชิงสร้างสรรค์ สร้างการสื่อสารและภาพลักษณ์ใหม่เกี่ยวกับการมีลูก ตอบโต้ข้อกังวลเรื่องเศรษฐกิจ ค่าครองชีพ และความมั่นคงในชีวิตของครอบครัว
  2. เชื่อมโยงภาคส่วน: สมาคมจะทำหน้าที่ลดแรงปะทะและเป็น “สะพาน” เชื่อมโยงระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อขับเคลื่อนนโยบายและโครงการต่างๆ อย่างมีพลังและต่อเนื่อง
  3. เป็นต้นแบบนวัตกรรม: ประเมินผลโครงการที่มีอยู่ ทดลองและพัฒนาโครงการใหม่ๆ เช่น พัฒนา business model ศูนย์ดูแลเด็กในเขตเมือง วิสาหกิจชุมชนด้านการดูแลเด็กและครอบครัว การส่งเสริมระบบรับบุตรบุญธรรมที่ทันสมัยและยืดหยุ่นเพื่อให้ทางเลือกให้กับผู้ตั้งครรภ์ไม่พร้อม รวมถึงการสร้างรูปแบบใหม่ของสวัสดิการสำหรับครอบครัวที่มีลักษณะหลากหลายขึ้น
  4. สนับสนุนครอบครัว: สร้างเครือข่ายหน่วยบริการที่รัฐยังไม่สามารถเข้าถึงหรือรองรับได้อย่างครอบคลุม เช่น ศูนย์ให้คำปรึกษาด้านชีวิตครอบครัวและการมีบุตร ศูนย์ให้คำปรึกษาด้านภาวะมีบุตรยากและการอุ้มบุญ ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพจิตและสร้างกำลังใจให้กับพ่อแม่ในกลุ่มเปราะบาง
  5. ผลักดันนโยบายสาธารณะ: รวบรวมเสียงจากประชาชน องค์กรการกุศลและอาสาสมัคร ผลักดันข้อเสนอเชิงนโยบาย เช่น การยกระดับเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด การขยายสิทธิการลาคลอดและการดูแลเด็ก การสนับสนุนสถานประกอบการที่เป็นมิตรกับครอบครัว รวมถึงพัฒนาแนวคิดใหม่ๆ ด้านวิสาหกิจชุมชนและวิสาหกิจเพื่อสังคม ด้านการส่งเสริมการเกิดให้มีขึ้นภายใต้ความเป็นวาระแห่งชาติ เช่น พัฒนาตัวชี้วัด “คะแนนส่งเสริมการมีบุตร” ที่ภาคเอกชนสามารถสะสมได้จากการดำเนินโครงการ Corporate Social Responsibility (CSR) ด้านการส่งเสริมการเกิด

แนวทางการขับเคลื่อนเร่งด่วน

เนื่องจากการลงทุนในเด็กที่จะเป็นผู้ดูแลสังคมต่อไปในอนาคตเป็นการประกันสิทธิเด็กขั้นพื้นฐาน สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจ และมีผลตอบแทนระยะยาวทางเศรษฐกิจและสังคมหลายเท่า สมาคมจะรณรงค์ให้ภาครัฐพิจารณายกระดับการจัดสรรเงินช่วยเหลือบุตรแบบรายเดือน เป็นเดือนละ 3,000 บาท ต่อเด็กหนึ่งคน จำนวนประมาณ 400,000 คน ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 6 ปี เพื่อให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจสำหรับครอบครัว และช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในช่วงสำคัญของการเลี้ยงดูบุตร (ถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบ “คนละครึ่ง” ธุรกิจการผลิตสินค้าและบริการเกี่ยวกับการดูแลเลี้ยงดูเด็กจะขยายตัว) งบประมาณสามารถดึงมาจากโครงการที่ไม่ต้องขยายตัวต่อไป หน่วยงานภาครัฐ (ไม่ว่าหน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรมหาชน) และการขยายโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคที่ควรต้องเริ่มหดตัวลง เข้าสู่ exit strategy ทำการควบรวมหน่วยงานเพื่อลดค่าใช้จ่าย จากการคาดประมาณประชากรที่กำลังลดลง 

ในขณะเดียวกัน สมาคมจะผลักดันให้ภาคเอกชน องค์กรธุรกิจ และรัฐวิสาหกิจ ดำเนินโครงการ CSR ที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการเกิด โดยสามารถขอลดหย่อนภาษีจากภาครัฐได้ในรูปแบบที่ชัดเจนและจูงใจ เพื่อให้เกิดการกระจายกิจกรรมส่งเสริมการเกิดในรูปแบบที่หลากหลายไปทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนศูนย์เด็กเล็ก การจัดตั้งกองทุนเพื่อครอบครัว กองทุนชุมชนเฝ้าระวังและดูแลเด็ก หรือการสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรกับเด็กและครอบครัวในสถานประกอบการและสถานที่อื่นๆ การพัฒนาเมืองที่เป็นมิตรและเอื้อต่อการเลี้ยงดูเด็ก แนวทางเดียวกับโครงการ CSR ด้านสิ่งแวดล้อมและการสะสม carbon credit ในการส่งเสริมการเกิดภาคเอกชนควรสามารถสะสม population credit หรือคะแนนส่งเสริมการมีบุตรเพื่อใช้ลดหย่อนภาษีและสร้างภาพลักษณ์องค์กร ได้เช่นกัน

รูป 2: สภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรกับเด็กและครอบครัว
ที่มา: https://chatgpt.com/c/6877002f-5160-800c-a22b-896d30f02100
สืบค้นเมื่อ 16 กรกฎาคม 2568

บทสรุป

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตประชากรครั้งใหญ่ที่อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความมั่นคงของชาติในระยะยาว แม้ว่าภาครัฐจะมีความพยายามในการแก้ไขปัญหา แต่ด้วยข้อจำกัดเชิงการเมืองและโครงสร้าง การขาดผู้นำและการบูรณาการข้ามภาคส่วน และการไม่อยู่ในระดับนโยบายสูงสุด ทำให้การขับเคลื่อนยังไม่เพียงพอ

การจัดตั้ง “สมาคมส่งเสริมการเกิดแห่งประเทศไทย” จึงเป็นข้อเสนอเชิงรุกที่มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างและผลักดันให้การส่งเสริมการเกิดเป็น “วาระแห่งชาติที่ขับเคลื่อนโดยประชาชน” ด้วยการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน ภาควิชาการ และภาคประชาสังคมร่วมกัน จุดมุ่งหมายคือการสร้างสังคมที่พร้อมให้ทุกครอบครัวมีบุตรได้อย่างมีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีความมั่นคงในระยะยาว

สมาคมนี้สามารถมีส่วนร่วมเป็นแกนงัดรับมือกับวิกฤตประชากรในปัจจุบันได้ อย่างไรก็ตาม สมาคมจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการสนับสนุนจากประชาชนและองค์กรทุกภาคส่วนที่กล่าวมาแล้ว ที่ล้วนมีความหวังในประเทศชาติร่วมกัน

 


Tags :

CONTRIBUTOR

Related Posts
Copyright © 2020 สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม 73170
โทรศัพท์ 02-441-0201-4 โทรสาร 02-441-9333
Webmaster: piyawat.saw@mahidol.ac.th