ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาวิกฤตประชากรอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน คนไทยจำนวนมากรู้สึกว่าต้องอยู่ในระบบนิเวศที่เศรษฐกิจและสังคมไม่เอื้อต่อการมีบุตร อัตราการเจริญพันธุ์รวม (Total Fertility Rate: TFR) ได้ลดลงมาอยู่ที่ 1.0 และประเทศไทยกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่ประชากรลดลงในสัดส่วนที่สูงที่สุดในโลก ปัญหานี้ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องของจำนวนประชากรเท่านั้น แต่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม แรงงานและความมั่นคงของประเทศในระยะยาว หากไม่มีมาตรการใดๆ ที่เพียงพอในการแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าว ภายในปี พ.ศ. 2573-2577 ประเทศไทยจะเข้าสู่ “สังคมสูงอายุระดับสุดยอด” โดยมีประชากรสูงอายุเกินกว่า 28% ของประชากรทั้งหมด ส่งผลให้จำนวนแรงงานลดลงอย่างมาก และกลุ่มคนวัยทำงานที่มีหน้าที่เสียภาษีและดูแลประชากรสูงวัยจะลดน้อยลงอย่างรวดเร็วในรายงาน State of World Population 2025: The Real World Crisis สหประชาชาติ ถึงกับใช้คำว่า “ประชากรล่มสลาย” (Population Collapse) ซึ่งสะท้อนถึงความรุนแรงของปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้นในโลก
ประเทศไทยแม้จะมีลักษณะเดียวกับประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศที่กำลังเผชิญกับปัญหานี้ แต่สิ่งที่แตกต่างคือ ประเทศไทยยังไม่สามารถหลุดพ้นจาก “กับดักประเทศรายได้ปานกลาง” ได้ นั่นหมายความว่า ความสามารถในการรองรับและเยียวยาผลกระทบจากโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลงไปมีข้อจำกัดมากกว่า จึงนับเป็นวิกฤตที่มีความเฉพาะเจาะจงและเร่งด่วนอย่างยิ่ง
แม้ว่าภาครัฐจะมีความพยายามในการแก้ไขปัญหานี้ผ่านนโยบายและโครงการต่างๆ แต่ก็ยังไม่สามารถตอบสนองและแก้ไขได้อย่างมีประสิทธิผลด้วยเหตุผลหลายประการ:
การก่อตั้ง “สมาคมส่งเสริมการเกิดแห่งประเทศไทย” เป็นข้อเสนอเชิงนโยบายและกลไกใหม่ที่จะเข้ามาเติมเต็มบทบาทที่ภาครัฐและองค์กรที่ยังไม่สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมและโครงสร้างที่เอื้อต่อการมีบุตรของคนไทยในยุคปัจจุบันและอนาคต
รูป 1: ศาสตราจารย์ ดร. เตียง ผาดไธสง
จากภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชนคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้ได้แจ้งเตือนอันตราย
ของการลดลงของประชากรไทย ไว้เมื่อสามสิบปีมาแล้ว
ที่มา: https://bookpanich.com สืบค้นเมื่อ 20 กรกฎาคม 2568
เนื่องจากการลงทุนในเด็กที่จะเป็นผู้ดูแลสังคมต่อไปในอนาคตเป็นการประกันสิทธิเด็กขั้นพื้นฐาน สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจ และมีผลตอบแทนระยะยาวทางเศรษฐกิจและสังคมหลายเท่า สมาคมจะรณรงค์ให้ภาครัฐพิจารณายกระดับการจัดสรรเงินช่วยเหลือบุตรแบบรายเดือน เป็นเดือนละ 3,000 บาท ต่อเด็กหนึ่งคน จำนวนประมาณ 400,000 คน ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 6 ปี เพื่อให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจสำหรับครอบครัว และช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในช่วงสำคัญของการเลี้ยงดูบุตร (ถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบ “คนละครึ่ง” ธุรกิจการผลิตสินค้าและบริการเกี่ยวกับการดูแลเลี้ยงดูเด็กจะขยายตัว) งบประมาณสามารถดึงมาจากโครงการที่ไม่ต้องขยายตัวต่อไป หน่วยงานภาครัฐ (ไม่ว่าหน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรมหาชน) และการขยายโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคที่ควรต้องเริ่มหดตัวลง เข้าสู่ exit strategy ทำการควบรวมหน่วยงานเพื่อลดค่าใช้จ่าย จากการคาดประมาณประชากรที่กำลังลดลง
ในขณะเดียวกัน สมาคมจะผลักดันให้ภาคเอกชน องค์กรธุรกิจ และรัฐวิสาหกิจ ดำเนินโครงการ CSR ที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการเกิด โดยสามารถขอลดหย่อนภาษีจากภาครัฐได้ในรูปแบบที่ชัดเจนและจูงใจ เพื่อให้เกิดการกระจายกิจกรรมส่งเสริมการเกิดในรูปแบบที่หลากหลายไปทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนศูนย์เด็กเล็ก การจัดตั้งกองทุนเพื่อครอบครัว กองทุนชุมชนเฝ้าระวังและดูแลเด็ก หรือการสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรกับเด็กและครอบครัวในสถานประกอบการและสถานที่อื่นๆ การพัฒนาเมืองที่เป็นมิตรและเอื้อต่อการเลี้ยงดูเด็ก แนวทางเดียวกับโครงการ CSR ด้านสิ่งแวดล้อมและการสะสม carbon credit ในการส่งเสริมการเกิดภาคเอกชนควรสามารถสะสม population credit หรือคะแนนส่งเสริมการมีบุตรเพื่อใช้ลดหย่อนภาษีและสร้างภาพลักษณ์องค์กร ได้เช่นกัน
รูป 2: สภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรกับเด็กและครอบครัว
ที่มา: https://chatgpt.com/c/6877002f-5160-800c-a22b-896d30f02100
สืบค้นเมื่อ 16 กรกฎาคม 2568
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตประชากรครั้งใหญ่ที่อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความมั่นคงของชาติในระยะยาว แม้ว่าภาครัฐจะมีความพยายามในการแก้ไขปัญหา แต่ด้วยข้อจำกัดเชิงการเมืองและโครงสร้าง การขาดผู้นำและการบูรณาการข้ามภาคส่วน และการไม่อยู่ในระดับนโยบายสูงสุด ทำให้การขับเคลื่อนยังไม่เพียงพอ
การจัดตั้ง “สมาคมส่งเสริมการเกิดแห่งประเทศไทย” จึงเป็นข้อเสนอเชิงรุกที่มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างและผลักดันให้การส่งเสริมการเกิดเป็น “วาระแห่งชาติที่ขับเคลื่อนโดยประชาชน” ด้วยการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน ภาควิชาการ และภาคประชาสังคมร่วมกัน จุดมุ่งหมายคือการสร้างสังคมที่พร้อมให้ทุกครอบครัวมีบุตรได้อย่างมีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีความมั่นคงในระยะยาว
สมาคมนี้สามารถมีส่วนร่วมเป็นแกนงัดรับมือกับวิกฤตประชากรในปัจจุบันได้ อย่างไรก็ตาม สมาคมจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการสนับสนุนจากประชาชนและองค์กรทุกภาคส่วนที่กล่าวมาแล้ว ที่ล้วนมีความหวังในประเทศชาติร่วมกัน