The Prachakorn

ไทยกำลังจะเป็นสังคมสูงวัยระดับสุดยอดในไม่ช้า


ปราโมทย์ ประสาทกุล

26 สิงหาคม 2568
79



การรายงานสถานการณ์ประชากรของประเทศไทย ถือเป็นพันธกิจอย่างหนึ่งของสถาบันวิจัยประชากรและสังคม ที่ต้องปฏิบัติเป็นประจำทุกๆ ปี อย่างเช่นเมื่อกลางเดือนมกราคมของปี 2568 นี้ รศ. ดร.เฉลิมพล แจ่มจันทร์ ผู้อำนวยการสถาบันฯ ได้รายงานสถานการณ์ประชากรของประเทศไทยในปี 2567 ด้วยการแถลงข่าวให้สื่อมวลชนทราบ

รูป: รศ. ดร.เฉลิมพล แจ่มจันทร์ ผู้อำนวยการสถาบันฯ 
ได้รายงานสถานการณ์ประชากรของประเทศไทยในปี 2567

ในช่วงเวลาสองสามทศวรรษที่ผ่านมานี้ สถานการณ์ประชากรของประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โครงสร้างอายุของประชากรไทยได้เปลี่ยนจาก “ประชากรเยาว์วัย” มาเป็น “ประชากรสูงวัย” อย่างรวดเร็วเกินความคาดหมาย โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนรูปไปอย่างมากนี้มีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นตัวบุคคล ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ เรื่องราวเกี่ยวกับประชากรจึงเป็นเรื่องที่สังคมให้ความสนใจเป็นอย่างมาก

เขียนครั้งเดียวใช้งานได้ถึง 4 ครั้ง

แม้ว่าสถาบันวิจัยประชากรและสังคม จะได้แถลงข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ประชากรประเทศไทยไปแล้ว แต่เรื่องนี้ก็ยังมีประเด็นน่าสนใจที่ควรย้ำเตือนให้สังคมได้รับทราบอีกมากสำหรับผม ในรอบสี่ห้าเดือนที่ผ่านมา ได้มีการนำเสนอเรื่องเกี่ยวกับสถานการณ์ประชากรของประเทศไทยหลายครั้ง ผมใช้ข้อมูลชุดเดียวกันกับที่ผู้อำนวยการฯ ใช้แถลงข่าวเมื่อต้นปี เรียกว่าผมใช้ปืนกระบอกเดียวกันกับผู้อำนวยการฯ และใช้กระสุนอีกนัดเดียวเพื่อยิงนกได้หลายตัว

ผมเขียนบทความ เรื่อง “สังคมสูงวัยระดับสุดยอด: ประเด็นท้าทายของประเทศไทยในทศวรรษหน้า” ร่วมกับศุทธิดา ชวนวัน และกาญจนา เทียนลาย ผมได้นำเสนอบทความนี้ในที่ประชุมสำนักธรรมศาสตร์และการเมือง ราชบัณฑิตยสภา เมื่อกลางเดือนมิถุนายน 2568 อีกสองอาทิตย์ต่อมาผมได้รับเชิญจากคณะอนุกรรมาธิการกิจการผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาสในคณะกรรมธิการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ ผู้ด้อยโอกาส และความหลากหลายทางสังคม วุฒิสภา เพื่อร่วมให้ข้อมูลเกี่ยวกับสังคมสูงวัยของประเทศไทยผมก็นำเอาบางส่วนของบทความนี้ไปนำเสนอด้วยตนเองที่สัมปรายสถาน ผมคิดว่าไหนๆ ก็ลงมือเขียนบทความนี้แล้ว ก็ควรนำมาเผยแพร่เพื่อตอกย้ำให้ผู้ติดตามงานของสถาบันฯ รวมทั้งนักศึกษาทั้งด้านประชากรศาสตร์และสังคมศาสตร์ได้ทราบบ้าง จึงเสนอตัวว่าจะนำบางส่วนของบทความนี้มาเป็นหัวข้อสนทนาในรายการ “เสวนาใต้ชายคาประชากร” ในวันที่ 6 สิงหาคม 2568 

มาถึงวันนี้ วันที่ใกล้จะครบกำหนดเส้นตายของการส่งต้นฉบับให้ “ประชากรและการพัฒนา ฉบับที่ 6 (สิงหาคม – กันยายน) ปีที่ 45” ผมก็จะถือโอกาสนำบางส่วนของบทความที่กล่าวถึงข้างต้นมาดัดแปลงเขียนใหม่ลงในจดหมายข่าวฉบับนี้อีก...เห็นไหมครับ กระสุนนัดเดียวยิงนกได้ถึง 4 ตัว จริงๆ

สถานการณ์ประชากรของประเทศไทยปี 2567

พวกเรา (ปราโมทย์ ศุทธิดา และกาญจนา) ใช้ข้อมูลจากการทะเบียนราษฎรของประเทศ ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลประชากรที่เป็นปัจจุบันที่สุดมาเป็นหลักในการศึกษาเพื่อเขียนบทความครั้งนี้ ปัจจุบัน ระบบการจดทะเบียนราษฎรของไทยได้พัฒนาก้าวหน้าไปมาก มีการนำเอาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมาใช้อย่างเต็มรูปแบบ จึงทำให้สำนักบริหารการทะเบียนราษฎร ของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย สามารถรายงานผลการจดทะเบียนราษฎรได้ในเวลาอันรวดเร็ว เดี๋ยวนี้ ภายในเวลาไม่เกิน 2 อาทิตย์หลังขึ้นปีใหม่ สำนักบริหารการทะเบียนราษฎรก็สามารถเผยแพร่สถานการณ์ประชากรของปีที่เพิ่งผ่านมาได้แล้ว

พวกเราได้นำข้อมูลจากการจดทะเบียนราษฎรจำแนกตามอายุ และเพศ จำนวนคนเกิด จำนวนคนตาย ในปี 2567 มาคิดคำนวณเป็นตัวชี้วัด เพื่อแสดงให้เห็นภาพสถานการณ์ประชากรของประเทศไทย ต้องบอกเสียก่อนว่า ข้อมูลประชากรจากทะเบียนราษฎรเป็นข้อมูลของคนทั้งที่มีสัญชาติไทยและไม่มีสัญชาติไทยตามที่อยู่ในทะเบียน ไม่ใช่ตามที่อยู่จริง ในปี 2567 ประเทศไทยมีประชากรที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนราษฎร 65.6 ล้านคน เป็นผู้หญิง 33.5 ล้านคน เป็นผู้ชาย 32.1 ล้านคน ในจำนวนประชากร 65.6 ล้านคนนี้ มีคนที่ไม่ใช่คนไทยอยู่ประมาณ 1 ล้านคน ขอย้ำอีกครั้งว่าคนที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนราษฎร รวมคนไทยที่ไปอยู่ต่างประเทศแต่ยังมีชื่ออยู่ในทะเบียนราษฎร ซึ่งน่าจะมีไม่ต่ำกว่า 5 แสนคน แต่ไม่รวมแรงงานข้ามชาติ ทั้งที่เข้ามาในประเทศอย่างถูกและไม่ถูกกฎหมาย ซึ่งมีจำนวนรวมแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ล้านคน โดยส่วนตัว ผมคิดว่ามีประชากรที่อาศัยอยู่ในประเทศทั้งที่มีชื่อและไม่มีชื่ออยู่ในทะเบียนราษฎร แต่ไม่นับคนที่มีชื่ออยู่ในทะเบียน แต่ตัวไปอยู่ในประเทศอื่น รวมแล้วไม่น่าจะต่ำกว่า 71 ล้านคน

โครงสร้างอายุของประชากรไทยที่เปลี่ยนไปอย่างมาก

ปัจจุบัน โครงสร้างอายุของประชากรไทยที่เปลี่ยนไปอย่างมาก กำลังเป็นที่สนใจของคนทั่วไป คนไทยรับรู้กันแล้วว่าผู้สูงอายุในประเทศไทยกำลังเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว เราจะเห็นผู้สูงอายุเกลื่อนตาตามสถานที่สาธารณะต่างๆ เมื่อดูจากข้อมูลทะเบียนราษฎรแล้ว พบว่า ในปี 2567 ประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมีมากถึง 13 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด หมายความว่าประเทศไทยได้กลายเป็น “สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์” โดยใช้เวลา 19 ปีในการเปลี่ยนจาก “สังคมสูงวัย” มาเป็น “สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์” พวกเราลองนำเอาข้อมูลโครงสร้างอายุประชากรจากการสำรวจสำมะโนประชากรเมื่อ 50 ปีก่อนมาเปรียบเทียบกับปี 2567 โดยในปี 2513 ประเทศไทยมีประชากร 34.4 ล้านคนเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งหมด (ร้อยละ 45.1) แต่ในปี 2567 สัดส่วนของประชากรเด็กลดลงเหลือเพียงร้อยละ 15.2 เท่านั้น ในขณะที่ประชากรสูงอายุ 60 ปีขึ้นไปเมื่อ 56 ปีก่อน มีอยู่เพียง 1.7 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วนเพียงร้อยละ 4.9 ของประชากรทั้งหมดเท่านั้น

สังคมไทยแก่เร็วเพราะเด็กเกิดน้อยลงเร็วมาก

การที่ประเทศไทยกลายเป็นสังคมสูงวัยอย่างเร็วมากเป็นเพราะเด็กเกิดน้อยลงเร็วมาก และคนไทยมีอายุยืนยาวขึ้นประเทศไทยมีเด็กเกิดลดน้อยลงอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย ลองคิดดูนะครับ เมื่อ 50 - 60 ปีก่อน ระหว่างปี 2506 - 2526 มีเด็กเกิดปีละเกินกว่าล้านคน เราเรียกเด็กเกิดในช่วง 20 ปีนั้นว่า “ประชากรรุ่นเกิดล้าน” ต่อมาเปลี่ยนเป็นเรียก “สึนามิประชากร” เพื่อให้เห็นภาพว่าประชากรรุ่นเกิดล้านเป็นเหมือนคลื่นยักษ์ของประชากรที่กำลังเคลื่อนตัวถาโถมเข้าสู่ฝั่งกลายเป็นผู้สูงอายุ ลองคิดดูนะครับ คนเกิดตั้งแต่ปี 2506 พอถึงปี 2566 ก็จะมีอายุย่างเข้าปีที่ 60 ดังนั้นตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป จะมีคนไทยทยอยกลายเป็นผู้สูงอายุปีละเกือบล้านคนทุกปี อีกเพียงไม่ถึง 20 ปีข้างหน้า คลื่นยักษ์ประชากรลูกนี้ก็จะกลายเป็นผู้สูงอายุทั้งหมด

หลังปี 2526 เด็กเกิดในประเทศไทยลดจำนวนต่ำกว่าล้านคนเรื่อยมา จนในปี 2567 นี้มีเด็กเกิดเพียง 4 แสน 6 หมื่นคน ซึ่งนับว่าจำนวนคนเกิดในประเทศไทยได้ลดต่ำกว่าหลัก 5 แสนคนเป็นปีแรกทั้งๆ ที่ปี 2567 เป็นปีมะโรง (งูใหญ่) หรือปีมังกร ผมเคยได้ยินว่าใครๆ ก็อยากให้ลูกหลานของตนเกิดในปีมังกรทอง ซึ่งคนไทยเชื้อสายจีนเชื่อว่าเป็นปีมงคล แต่ทว่าความเชื่อนี้ ไม่ได้ช่วยส่งเสริมให้การเกิดในประเทศไทยเพิ่มจำนวนขึ้นเลย ในปี 2566ซึ่งเป็นปีเถาะกระต่าย มีเด็กเกิด 5 แสน 2 หมื่นคน แต่ปีมังกรทองจำนวนเด็กเกิดในประเทศไทยกลับลดน้อยลงอย่างน่าใจหาย

จำนวนเด็กเกิดในแต่ละปีตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา น้อยกว่าจำนวนคนตาย ทำให้อัตราเพิ่มประชากรที่คำนวณจากอัตราเกิดลบอัตราตายติดลบติดต่อกันเป็นเวลา 4 ปีแล้ว และมีแนวโน้มว่าจำนวนเด็กเกิดจะยิ่งน้อยลงไปอีกในปี 2568 นี้

พวกเราได้นำจำนวนเด็กเกิดในแต่ละปีมาคำนวณเป็น “อัตราเจริญพันธุ์รวม” ซึ่งหมายถึงจำนวนบุตรเฉลี่ยที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะมีตลอดวัยมีบุตรของตน ในปี 2567 นี้ อัตราเจริญพันธุ์รวมของสตรีไทยมีค่าเท่ากับ 1.0 หมายความว่าผู้หญิงไทยคนหนึ่งมีบุตรเฉลี่ยเพียงคนเดียวเท่านั้น อัตรานี้นับว่าต่ำมาก ตัวอย่างของประเทศที่มีอัตราเจริญพันธุ์รวมอยู่ในระดับต่ำ เช่น เกาหลีใต้ (1.0) ไต้หวัน (1.0) ญี่ปุ่น (1.2) สิงคโปร์ (0.97) เด็กเกิดน้อยลงอย่างมากและรวดเร็วอย่างนี้ จะไม่ทำให้สังคมไทยมีแต่ผู้สูงอายุได้อย่างไร

ถ้าผู้หญิงไทยมีลูกน้อยลงจนเหลือลูกคนเดียวตลอดอายุวัยมีบุตรอย่างนี้ และคนไทยก็มีอายุยืนขึ้นไปอีกจาก 76 ปีในปัจจุบัน เป็น 80 ปีในอีก 20 ปีข้างหน้า พวกเราคาดประมาณว่าประเทศไทยจะกลายเป็น “สังคมสูงวัยระดับสุดยอด” เมื่อประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไป มีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 20 หรือประมาณหนึ่งในห้าของประชากรทั้งหมดภายในปี 2577 นี้แล้ว

 


Tags :

CONTRIBUTOR

Related Posts
Copyright © 2020 สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม 73170
โทรศัพท์ 02-441-0201-4 โทรสาร 02-441-9333
Webmaster: piyawat.saw@mahidol.ac.th