The Prachakorn

สูงวัยอย่างมีคุณภาพ: ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และไทย วางแผนให้ผู้สูงอายุใช้ชีวิตที่บ้านอย่างไร


นุชราภรณ์ เลี้ยงรื่นรมย์

09 กันยายน 2568
31



หลังจากที่เราได้ใช้ชีวิตในวัยเรียนและวัยทำงาน ซึ่งเวลาส่วนใหญ่จะถูกออกแบบไว้ค่อนข้างชัดเจน (คือการเรียนและการทำงาน) แต่ “ชีวิตในวัยเกษียณ” ที่อาจเป็นเหมือนคำถามปลายเปิด ให้เราเลือกคำตอบที่ออกแบบเองได้ หลายคนอาจอยากใช้ชีวิตสงบๆ ที่บ้าน มีลูกหลานดูแล มีเพื่อนบ้านให้พูดคุย และมีบริการสุขภาพที่เข้าถึงได้ง่าย แนวคิดนี้เรียกกันว่า “การสูงวัยในที่อยู่อาศัยเดิม” หรือ Ageing in Place (AIP) แนวคิดนี้ถูกนำไปออกแบบนโยบายหรือบริการให้ผู้สูงอายุในหลายประเทศจากการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบที่รวบรวมข้อมูลจาก 3 ประเทศในเอเชีย (ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และไทย) ทำให้เห็นแนวทางที่แต่ละประเทศส่งเสริมให้ผู้สูงอายุสามารถใช้ชีวิตที่บ้านได้อย่างมั่นคง ปลอดภัย และเป็นอิสระ

ญี่ปุ่น: ระบบครบวงจร ชุมชนเข้มแข็ง

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีสัดส่วนประชากรสูงวัยมากที่สุดในโลก โดยในปี 2567 มีผู้สูงอายุ (65 ปีขึ้นไป) มากกว่า 36 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 30 ของประชากรทั้งหมด สำหรับญี่ปุ่นจัดว่าเป็นสังคมผู้สูงอายุระดับเกินสุดยอด (Hyper – Aged Society) และญี่ปุ่นเองถือว่าเป็นต้นแบบแนวคิด AIP โดยรัฐบาลญี่ปุ่นได้เตรียมรับมือกับเรื่องนี้มานานแล้ว ตั้งแต่การพัฒนา “ระบบการดูแลแบบบูรณาการในชุมชน” ซึ่งรวมการดูแลสุขภาพ การพยาบาล การป้องกันโรค การจัดที่อยู่อาศัย และการช่วยเหลือด้านการดำรงชีวิตไว้อย่างครบวงจร ญี่ปุ่นไม่เพียงให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพเท่านั้น แต่ยังพัฒนาระบบให้ครอบคลุมถึงการออกแบบบ้านให้เหมาะกับผู้สูงอายุ สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีในบ้าน และมีระบบสนับสนุนผู้ดูแลในครอบครัว เช่น การลางานเพื่อดูแลผู้สูงอายุ

สิงคโปร์: เมืองทันสมัย แต่ยังใส่ใจผู้สูงวัย

แม้สิงคโปร์จะเป็นประเทศเล็ก แต่สิงคโปร์ก็มีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในหนึ่งทศวรรษ สิงคโปร์มีประชากรอายุเกิน 65 ปี จากร้อยละ 12.4 ในปี 2557 เป็นเกือบร้อยละ 20 ในปี 2567 รัฐบาลสิงคโปร์จึงออกแผนระดับชาติ “Action Plan for Successful Ageing” ตั้งแต่ปี 2558 เพื่อส่งเสริมให้ผู้สูงวัยใช้ชีวิตในบ้านและชุมชนได้อย่างมีความสุข สิ่งที่น่าสนใจคือ สิงคโปร์ใช้เทคโนโลยีมาช่วยดูแล เช่น เซ็นเซอร์ในบ้าน หรือบริการดูแลผ่านวิดีโอคอล นอกจากนี้ ยังมีโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยและสนับสนุนกิจกรรมชุมชนอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการออกแบบเมืองที่ “เป็นมิตรกับผู้สูงวัย”

ไทย: จุดเริ่มต้นที่ดี แต่ยังต้องพัฒนาอีกมาก

ในปี 2567 ประเทศไทยมีผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด รัฐบาลไทยเริ่มวางแนวทาง AIP ตั้งแต่ปี 2548 ด้วยการปรับปรุงบ้านผู้สูงอายุรายได้น้อย และให้เบี้ยยังชีพผู้สูงวัยทั่วประเทศ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีนโยบายระดับชาติเพื่อส่งเสริม AIP อย่างชัดเจนเท่าญี่ปุ่นและสิงคโปร์ แม้จะมีการพัฒนาชุมชนเพื่อรองรับผู้สูงวัย เช่น การประเมินเมืองที่เป็นมิตรกับผู้สูงวัย และส่งเสริมการมีอาสาสมัครในพื้นที่ แต่ยังมีความท้าทายด้านงบประมาณ ความพร้อมของบุคลากร และความเชื่อมโยงของบริการสุขภาพกับการดูแลทางสังคม

สามเสาหลักของ AIP: บ้าน ชุมชน และคนดูแล

จากการทบทวนนโยบายและบริการสำหรับผู้สูงวัยของทั้ง 3 ประเทศ พบว่าแนวคิด AIP ที่ประสบความสำเร็จควรมี 3 ส่วนหลัก ได้แก่

  1. บ้าน/สถานที่ (Place)
    ต้องมีบ้านที่ปลอดภัย ออกแบบให้เคลื่อนไหวง่าย มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้สูงอายุ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีมาช่วยเสริม เช่น เซ็นเซอร์ หรืออุปกรณ์อัจฉริยะต่างๆ
  2. ชุมชน/เครือข่ายสนับสนุน (Support Network)
    บริการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการแพทย์ การพยาบาล หรือกิจกรรมทางสังคม ต้องเชื่อมโยงกันอย่างดี และเข้าถึงได้ง่ายในระดับชุมชน เช่น มีบริการส่งอาหาร บริการพาไปพบแพทย์ หรือกิจกรรมสร้างสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนบ้าน
  3. คนดูแลและบุคลากร (Workforce)
    ต้องมีทั้งผู้ดูแลแบบเป็นทางการ (เช่น พยาบาล) และไม่เป็นทางการ (เช่น ลูกหลาน หรืออาสาสมัคร) ที่ได้รับการฝึกอบรม มีระบบค่าตอบแทนและสวัสดิการที่ดี เพื่อให้การดูแลผู้สูงวัยเกิดขึ้นอย่างมีคุณภาพ

การที่ผู้สูงวัยสามารถอยู่บ้านของตนเองได้นานที่สุด โดยมีสุขภาพดี มีคนดูแล มีชุมชนที่อบอุ่น และมีเทคโนโลยีช่วยอนวยความสะดวก นั่นคือเป้าหมายของ “Ageing in Place” ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องของผู้สูงวัยเท่านั้น แต่คือเรื่องของพวกเราทุกคนในอนาคต

รูป: ผู้สูงวัยสามารถอยู่บ้านของตนเอง มีสุขภาพดี มีคนดูแล 
ที่มา: https://chatgpt.com/c/6882f0c4-e37c-800c-93f5-ca41abc1f8f1 สืบค้นเมื่อ 25 กรกฎาคม 2568


เอกสารอ้างอิง

Satchanawakul, N., Liangruenrom, N., Thang, L. L., & Satchanawakul, N. (2025). Systematic scoping review of ageing in place strategies in Japan, Singapore and Thailand: A comparative analysis. Australasian journal on ageing, 44(1), e13378. https://doi.org/10.1111/ajag.13378

 


Tags :

CONTRIBUTOR

Related Posts
Copyright © 2020 สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม 73170
โทรศัพท์ 02-441-0201-4 โทรสาร 02-441-9333
Webmaster: piyawat.saw@mahidol.ac.th