หลังจากที่เราได้ใช้ชีวิตในวัยเรียนและวัยทำงาน ซึ่งเวลาส่วนใหญ่จะถูกออกแบบไว้ค่อนข้างชัดเจน (คือการเรียนและการทำงาน) แต่ “ชีวิตในวัยเกษียณ” ที่อาจเป็นเหมือนคำถามปลายเปิด ให้เราเลือกคำตอบที่ออกแบบเองได้ หลายคนอาจอยากใช้ชีวิตสงบๆ ที่บ้าน มีลูกหลานดูแล มีเพื่อนบ้านให้พูดคุย และมีบริการสุขภาพที่เข้าถึงได้ง่าย แนวคิดนี้เรียกกันว่า “การสูงวัยในที่อยู่อาศัยเดิม” หรือ Ageing in Place (AIP) แนวคิดนี้ถูกนำไปออกแบบนโยบายหรือบริการให้ผู้สูงอายุในหลายประเทศจากการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบที่รวบรวมข้อมูลจาก 3 ประเทศในเอเชีย (ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และไทย) ทำให้เห็นแนวทางที่แต่ละประเทศส่งเสริมให้ผู้สูงอายุสามารถใช้ชีวิตที่บ้านได้อย่างมั่นคง ปลอดภัย และเป็นอิสระ
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีสัดส่วนประชากรสูงวัยมากที่สุดในโลก โดยในปี 2567 มีผู้สูงอายุ (65 ปีขึ้นไป) มากกว่า 36 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 30 ของประชากรทั้งหมด สำหรับญี่ปุ่นจัดว่าเป็นสังคมผู้สูงอายุระดับเกินสุดยอด (Hyper – Aged Society) และญี่ปุ่นเองถือว่าเป็นต้นแบบแนวคิด AIP โดยรัฐบาลญี่ปุ่นได้เตรียมรับมือกับเรื่องนี้มานานแล้ว ตั้งแต่การพัฒนา “ระบบการดูแลแบบบูรณาการในชุมชน” ซึ่งรวมการดูแลสุขภาพ การพยาบาล การป้องกันโรค การจัดที่อยู่อาศัย และการช่วยเหลือด้านการดำรงชีวิตไว้อย่างครบวงจร ญี่ปุ่นไม่เพียงให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพเท่านั้น แต่ยังพัฒนาระบบให้ครอบคลุมถึงการออกแบบบ้านให้เหมาะกับผู้สูงอายุ สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีในบ้าน และมีระบบสนับสนุนผู้ดูแลในครอบครัว เช่น การลางานเพื่อดูแลผู้สูงอายุ
แม้สิงคโปร์จะเป็นประเทศเล็ก แต่สิงคโปร์ก็มีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในหนึ่งทศวรรษ สิงคโปร์มีประชากรอายุเกิน 65 ปี จากร้อยละ 12.4 ในปี 2557 เป็นเกือบร้อยละ 20 ในปี 2567 รัฐบาลสิงคโปร์จึงออกแผนระดับชาติ “Action Plan for Successful Ageing” ตั้งแต่ปี 2558 เพื่อส่งเสริมให้ผู้สูงวัยใช้ชีวิตในบ้านและชุมชนได้อย่างมีความสุข สิ่งที่น่าสนใจคือ สิงคโปร์ใช้เทคโนโลยีมาช่วยดูแล เช่น เซ็นเซอร์ในบ้าน หรือบริการดูแลผ่านวิดีโอคอล นอกจากนี้ ยังมีโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยและสนับสนุนกิจกรรมชุมชนอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการออกแบบเมืองที่ “เป็นมิตรกับผู้สูงวัย”
ในปี 2567 ประเทศไทยมีผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด รัฐบาลไทยเริ่มวางแนวทาง AIP ตั้งแต่ปี 2548 ด้วยการปรับปรุงบ้านผู้สูงอายุรายได้น้อย และให้เบี้ยยังชีพผู้สูงวัยทั่วประเทศ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีนโยบายระดับชาติเพื่อส่งเสริม AIP อย่างชัดเจนเท่าญี่ปุ่นและสิงคโปร์ แม้จะมีการพัฒนาชุมชนเพื่อรองรับผู้สูงวัย เช่น การประเมินเมืองที่เป็นมิตรกับผู้สูงวัย และส่งเสริมการมีอาสาสมัครในพื้นที่ แต่ยังมีความท้าทายด้านงบประมาณ ความพร้อมของบุคลากร และความเชื่อมโยงของบริการสุขภาพกับการดูแลทางสังคม
จากการทบทวนนโยบายและบริการสำหรับผู้สูงวัยของทั้ง 3 ประเทศ พบว่าแนวคิด AIP ที่ประสบความสำเร็จควรมี 3 ส่วนหลัก ได้แก่
การที่ผู้สูงวัยสามารถอยู่บ้านของตนเองได้นานที่สุด โดยมีสุขภาพดี มีคนดูแล มีชุมชนที่อบอุ่น และมีเทคโนโลยีช่วยอนวยความสะดวก นั่นคือเป้าหมายของ “Ageing in Place” ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องของผู้สูงวัยเท่านั้น แต่คือเรื่องของพวกเราทุกคนในอนาคต
รูป: ผู้สูงวัยสามารถอยู่บ้านของตนเอง มีสุขภาพดี มีคนดูแล
ที่มา: https://chatgpt.com/c/6882f0c4-e37c-800c-93f5-ca41abc1f8f1 สืบค้นเมื่อ 25 กรกฎาคม 2568
เอกสารอ้างอิง
Satchanawakul, N., Liangruenrom, N., Thang, L. L., & Satchanawakul, N. (2025). Systematic scoping review of ageing in place strategies in Japan, Singapore and Thailand: A comparative analysis. Australasian journal on ageing, 44(1), e13378. https://doi.org/10.1111/ajag.13378