แร่หายาก (Rare Earth Elements: REEs) เป็นกลุ่มของธาตุโลหะหายาก ที่มีคุณสมบัติพิเศษด้านแม่เหล็ก การเรืองแสงและตัวนำไฟฟ้า ทำให้มีบทบาทสำคัญในเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างมากและทั่วโลกเองก็กำลังตื่นตัวเรื่องพลังงานสะอาด การใช้แร่หายากจึงส่งผลต่ออุตสาหกรรมการผลิตสินค้าเทคโนโลยีระดับสูงที่เป็นมิตรต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม เช่น รถยนต์ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับโทรศัพท์มือถือ จอภาพโทรทัศน์ แบตเตอรีสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ลำโพง รถไฮบริด กังหันลมขนาดใหญ่เพื่อใช้ผลิตกระแสไฟฟ้า แร่หายากยังเป็นส่วนประกอบน้ำหนักเบา สำหรับขีปนาวุธ เครื่องบินรบ F-35 และอุปกรณ์ยานอวกาศ อีกทั้งมีความสำคัญต่อเทคโนโลยีทางการแพทย์ เช่น การผ่าตัดด้วยแสงเลเซอร์ และการสแกนเอ็มอาร์ไอ (การใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าตรวจร่างกาย) แร่หายากประกอบด้วยกลุ่มโลหะ 17 ชนิด1 อย่างไรก็ตาม มีข้อจำกัดในการสกัดแร่หายาก เนื่องจากขั้นตอนการสกัดแร่มีส่วนก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม และปล่อยสารกัมมันตรังสีออกมา หลายประเทศจึงเลือกที่จะนำเข้าแร่หายากนี้จากประเทศอื่นแทน ซึ่งประเทศจีนได้ครองส่วนแบ่งการผลิตแร่หายาก เนื่องจากเป็นแหล่งที่พบแร่มากที่สุดในโลก
ทั่วโลกมีปริมาณสำรองแร่หายาก ประมาณ 120 ล้านตัน โดยจีนอยู่อันดับแรกที่มีแร่หายาก ประมาณ 44 ล้านตัน และจีนสามารถผลิตแร่หายากได้มากถึงร้อยละ 60-80 ของปริมาณความต้องการของโลก และแปรรูปได้ถึงร้อยละ 90 ส่วนประเทศที่สามารถผลิตแร่หายากได้เป็นอันดับรองลงมา ในปี 2567 ได้แก่ เมียนมา ออสเตรเลีย ไทย ไนจีเรีย อินเดีย และรัสเซีย
กระแสแร่หายากกำลังเป็นประเด็นการเมืองโลก จากผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคมระดับมหภาค ดังนี้
ประเทศไทยมีแหล่งแร่หายากที่มีศักยภาพ ส่วนใหญ่มาจากแร่โมนาไซต์ (monazite) ซึ่งเป็นแร่พลอยปนกับแร่ดีบุก ในช่วงประมาณปี 2537 ราคาแร่ดีบุกตกต่ำลง ทำให้เหมืองดีบุกมากกว่าร้อยละ 60 ปิดตัวลง ไม่มีการผลิตแร่หายากในไทย สถานการณ์ล่าสุดพบสารพิษปนเปื้อนในลุ่มแม่น้ำกก จังหวัดเชียงราย ซึ่งปนเปื้อนมาจากการทำเหมืองทองคำของบริษัทจากประเทศจีนที่เข้ามาลงทุนทำเหมืองที่รัฐฉานและรัฐคะฉิ่น ประเทศเมียนมา พบสารโลหะหนัก เช่น ตะกั่วปนเปื้อนอยู่ในลำน้ำกก ซึ่งไหลผ่านจังหวัดเชียงรายเช่นกัน เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศระดับรุนแรง เช่น น้ำมีสีเข้ม ขุ่น และเป็นอันตรายต่อประชาชนที่อาศัยในบริเวณลุ่มน้ำ รวมถึงปลาหลายชนิดติดเชื้อจากสารตะกั่ว และมีร่องรอยบาดแผลทั่วลำตัว
รูป: แนวภูเขาในรัฐคะฉิ่นเปลี่ยนสภาพเป็นเหมืองเปิดเพื่อสกัดแร่หายาก
ที่มา: https://globalwitness.org/en/campaigns/transition-minerals/fuelling-the-future-poisoning-the-present-myanmars-rare-earth-boom/
สืบค้นเมื่อ 7 กรกฎาคม 2568
การใช้ประโยชน์จากแร่หายาก กำลังเป็นภัยคุกคามต่อคุณภาพชีวิตมนุษย์และสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมต่อสิ่งมีชีวิต เนื่องจากขั้นตอนการขุดและกรรมวิธีแปรรูปโลหะหนักเพื่อสกัดแร่หายากจำเป็นต้องใช้สารเคมีแยกสิ่งปนเปื้อนออกจากแร่ อีกทั้งกระบวนการผลิตยังขาดวิธีการกำจัดกากแร่ที่มีกัมมันตรังสี ดังนั้น เมื่อระบายน้ำเสียสู่แม่น้ำสายหลัก จึงทำให้เกิดอุบัติภัยที่เกินมาตรฐานสำหรับสิ่งมีชีวิต สะท้อนได้ว่าการกำจัดกากแร่ยังเป็นปัญหาใหญ่ ซึ่งอาจทำให้กากแร่รั่วไหลในระยะยาว การแก้ปัญหานี้ต้องใช้งบประมาณมหาศาลและเทคโนโลยีขั้นสูง และที่สำคัญต้องมีมาตรการกำกับดูแลด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อมนุษย์และระบบนิเวศในระยะยาว
เอกสารอ้างอิง