หนังสือเล่มนี้เป็นผลลัพธ์จากงานวิจัยภายใต้โครงการเสริมสร้างภาวะผู้นำแก่ผู้หญิงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีเป้าหมายเพื่อศึกษาบทบาทของผู้หญิงมุสลิมในพื้นที่สาธารณะ ท่ามกลางข้อจำกัดของบทบาททางเพศที่สืบเนื่องจากบริบททางศาสนาและวัฒนธรรมท้องถิ่น รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อบทบาทของผู้หญิงในสังคม
หนังสือเล่มนี้ประกอบด้วยการวิเคราะห์สถานการณ์ บทสัมภาษณ์เชิงลึก บทเรียนชีวิต และข้อเสนอเชิงนโยบายจากนักวิชาการและผู้นำสตรีในพื้นที่ โดยมีจุดเด่นที่สำคัญคือการเน้น "เสียงของผู้หญิงมุสลิม" ที่ลุกขึ้นมาแสดงบทบาทในสาธารณะ ภายใต้ความท้าทายทั้งจากโครงสร้างอำนาจชายเป็นใหญ่ แรงกดดันจากครอบครัว และกรอบทางศาสนา
เนื้อหาสาระหลักเริ่มจากการวิเคราะห์ปัญหาและสภาพแวดล้อมของผู้หญิงมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของบทบาทสตรี จากเดิมที่ถูกจำกัดให้อยู่เพียงในครัวเรือน มาเป็นผู้ที่มีบทบาทในกิจกรรมทางสังคม การเมือง และศาสนา โดยเฉพาะในช่วงหลังปี 2547 ที่สถานการณ์ความไม่สงบทำให้ผู้ชายจำนวนมากตกเป็นเป้าหมายของเจ้าหน้าที่รัฐ ในประเด็นการตรวจสอบ หรือถูกสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับคดีความมั่นคง ขณะที่ผู้หญิงต้องลุกขึ้นมาทำหน้าที่แทนในหลายบทบาท
ภาพปกหนังสือ "ผู้หญิงมุสลิมในพื้นที่สาธารณะ: เสียงสะท้อน ประสบการณ์ และความหวังในชายแดนใต้"
ส่วนที่โดดเด่นของหนังสือคือการ "ถอดบทเรียน" ผ่านเรื่องเล่าของผู้หญิงมุสลิมที่มีบทบาทสำคัญในพื้นที่ เช่น แพทย์หญิงเพชรดาว โต๊ะมีนา ที่ผันตัวจากวิชาชีพแพทย์สู่สมาชิกรัฐสภา และเผชิญกับความท้าทายทางสังคมและศาสนาเกี่ยวกับบทบาทของผู้หญิงในทางการเมือง หรือแยน๊ะ สะแลแม ผู้หญิงที่เคยประสบกับความสูญเสียจากความรุนแรง กลับมาเป็นนักประสานสันติภาพในชุมชน
กรณีของไครียะห์ ระหมันยะ นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมวัยเยาว์ ผู้สื่อสารความสำคัญของทรัพยากรท้องถิ่นผ่านช่องทางสื่อสมัยใหม่ ก็เป็นอีกภาพหนึ่งของการเปลี่ยนผ่านทางบทบาทสตรี จากผู้ตามสู่ผู้ขับเคลื่อนสังคม รวมถึงบทบาทของซารีนา เจ๊ะเลาะ ภรรยาผู้นำศาสนา ที่ก่อตั้งศูนย์ให้คำปรึกษาแก่ผู้หญิง โดยทำงานร่วมกับคณะกรรมการอิสลามจังหวัด ถือเป็นการเปิดพื้นที่ให้ผู้หญิงสามารถมีส่วนร่วมในกิจกรรมศาสนาได้อย่างเหมาะสม
ขณะเดียวกัน หนังสือยังได้วิเคราะห์ในมุมของนักสิทธิมนุษยชนหญิงอย่างอัญชนา หีมมิหน๊ะ ที่ทำงานกับผู้ต้องหาในคดีความมั่นคง และรอซิดะห์ ปูซู ผู้บุกเบิกศูนย์บริการให้คำปรึกษาสตรีในพื้นที่ ที่ชี้ให้เห็นความสำคัญของความรู้ ความเข้าใจ และการปรับใช้หลักการศาสนาอิสลามอย่างเหมาะสม เพื่อสนับสนุนสิทธิและศักดิ์ศรีของผู้หญิงในสังคมมุสลิมชายแดนใต้
ในเชิงทฤษฎี หนังสือได้เสนอข้อถกเถียงเกี่ยวกับบทบาทของผู้หญิงในอารยธรรมอิสลามผ่านการย้อนมองประวัติศาสตร์ของนักวิชาการสตรีในศาสนาอิสลามยุคต้น โดยเน้นย้ำว่าสตรีมุสลิมในอดีตมีบทบาทอย่างสูงในฐานะนักปราชญ์ นักวิชาการ และผู้นำศาสนา ซึ่งสามารถโต้แย้งและออกคำวินิจฉัยทางศาสนาได้อย่างมีอำนาจภายใต้หลักฐานจากอัลกุรอานและหะดีษ หนังสือเล่มนี้จึงแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการส่งเสริมผู้หญิงให้กลับมามีบทบาทในศาสนาอย่างเข้มแข็ง โดยไม่ขัดต่อหลักการศรัทธา
ท้ายเล่ม หนังสือเสนอแนวทางการส่งเสริมพลังผู้หญิงในพื้นที่สาธารณะ ได้แก่ การพัฒนาชุดความรู้ด้านสิทธิและบทบาทตามศาสนา การสร้างพื้นที่ปลอดภัยทางสังคมและศาสนา การประสานงานกับผู้นำศาสนาเพื่อร่วมขับเคลื่อน และการสนับสนุนการศึกษาอบรมผู้นำหญิงในมิติต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงกับบทบาททางศาสนาและสาธารณะ
หนังสือเล่มนี้เป็นผลงานที่มีคุณค่าทางสังคมและวิชาการอย่างยิ่ง โดยผสานระหว่างมิติการวิจัย การสื่อสารความรู้ และการรณรงค์เชิงนโยบาย เพื่อส่งเสริมสิทธิและศักยภาพของผู้หญิงมุสลิมในพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวทางศาสนาและความมั่นคง โดยเฉพาะการเปิดพื้นที่ให้เสียงของผู้หญิงที่ถูกมองข้าม ได้มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างมีศักดิ์ศรี หนังสือเล่มนี้ ควรถูกนำไปใช้เป็นทั้งกรณีศึกษาในงานด้านสิทธิสตรี ศึกษาอิสลาม มานุษยวิทยา และการพัฒนาสังคม ตลอดจนเป็นเครื่องมือเชิงนโยบายเพื่อการส่งเสริมบทบาทของผู้หญิงมุสลิมในพื้นที่อื่น ๆ ที่มีบริบทคล้ายคลึงกันต่อไป
ที่มา