นอกจากฉลากหวานมันเค็มหรือฉลากโภชนาการแบบจีดีเอที่มีรูปแบบเป็นแท่งทรงกระบอกขนาดเล็กจำนวน 4 แท่ง แต่ละแท่งมีสีขาว ใช้บอกปริมาณพลังงาน น้ำตาล ไขมัน และโซเดียมในผลิตภัณฑ์อาหารนั้นๆ ซึ่งทำให้เรารู้ว่าอาหารนั้นหวาน มัน เค็มมากน้อยเพียงใดแล้ว ฉลากหวานมันเค็มยังมีรูปแบบอื่น ได้แก่ ฉลากสัญญาณไฟจราจร ผู้เขียนขอใช้ชื่อเล่นว่า “ฉลากเขียวเหลืองแดง” ฉลากคำเตือน และฉลากแบ่งเกรดอาหาร ในบทความนี้ชวนคุณผู้อ่านมารู้จักฉลากสัญญาณไฟจราจรหรือฉลากเขียวเหลืองแดง และการเปรียบเทียบการเลือกใช้ฉลากเขียวเหลืองแดงกับฉลากหวานมันเค็มของเด็กไทยกันค่ะ ส่วนฉลากคำเตือน และฉลากแบ่งเกรดอาหาร ผู้เขียนจะค่อยๆ นำมาเสนอในตอนต่อๆ ไป นะคะ
ฉลากเขียวเหลืองแดงเป็นกรอบขนาดเล็กด้านหน้าซองผลิตภัณฑ์อาหารหรือขวดเครื่องดื่ม เพื่อบอกว่าอาหารที่เรากินมีปริมาณพลังงาน น้ำตาล ไขมัน และโซเดียมเท่าใด ซึ่งทำให้เรารู้ว่าอาหารนั้นหวาน มัน เค็มมากน้อยแค่ไหน (ก็เหมือนๆ ฉลากหวานมันเค็ม) แต่แทนที่จะเป็นสีขาวโพลน ฉลากประเภทนี้มีสีอยู่ 3 สี – เขียว เหลือง และแดง -- เป็นสัญลักษณ์เพื่อบอกระดับความเหมาะสมในการบริโภค สีเขียว หมายถึง มีปริมาณสารอาหารในระดับที่ปลอดภัยต่อสุขภาพหรือรับประทานได้ สีเหลือง หมายถึง มีปริมาณสารอาหารในระดับค่อนข้างสูง กินได้แต่ต้องระวังหรือควรรับประทานแต่น้อย และ สีแดง หมายถึง มีปริมาณสารอาหารในระดับสูง ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพหรือควรหลีกเลี่ยง1 เพื่อให้คุณผู้อ่านเข้าใจง่ายขึ้น ฉลากนี้เหมือนฉลากหวานมันเค็มเพียงแค่ใส่สีเขียวเหลือแดงเข้าไป เพื่อสื่อสารปริมาณสารอาหารให้ผู้บริโภคเข้าใจและตัดสินใจเลือกบริโภคผลิตภัณฑ์อาหารนั้นง่ายขึ้นนั่นเอง1 (ดูรูปที่ 1)
รูปที่ 1 ฉลากเขียวเหลืองแดง
ที่มาของรูป: แบบสอบถามของโครงการการติดตามการตลาดอาหารและเครื่องดื่มในเด็กของประเทศ 2567
โครงการการติดตามการตลาดอาหารและเครื่องดื่มในเด็กของประเทศไทยได้เก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นเด็กอายุ 10 – 18 ปี ทั่วประเทศไทย จำนวน 2,113 คน เพื่อสำรวจความเข้าใจฉลากโภชนาการ ด้วยการสอบถามเด็กว่า “สองรูปนี้เป็นฉลากหวาน มัน เค็ม ของขนมขบเคี้ยว A และ B ถ้าให้หนูเลือกจากฉลาก ขนมขบเคี้ยวใดดีต่อสุขภาพมากกว่ากัน” คำตอบมี 3 ตัวเลือก ได้แก่ ข้อ 1 ขนมขบเคี้ยว A ดีต่อสุขภาพมากกว่าขนมขบเคี้ยว B ข้อ 2 ขนมขบเคี้ยว A ดีต่อสุขภาพเท่ากับขนมขบเคี้ยว B และข้อ 3. ขนมขบเคี้ยว A ดีต่อสุขภาพน้อยกว่าขนมขบเคี้ยว B (ดูรูปที่ 2) ข้อ 3 คือคำตอบที่ถูกต้อง ผลการศึกษาพบว่า เกือบ 3 ใน 5 ของเด็กไทย (จำนวน 1,371 คน คิดเป็นร้อยละ 64.9) เข้าใจและเลือกฉลากหวานมันเค็มบนบรรจุภัณฑ์ขนมขบเคี้ยวได้ถูกต้อง2
รูปที่ 2 ฉลากหวานมันเค็ม
ที่มาของรูป: แบบสอบถามของโครงการการติดตามการตลาดอาหารและเครื่องดื่มในเด็กของประเทศ 2567
ทีมวิจัยสอบถามเด็กต่อไปว่า “สองรูปนี้เป็นฉลาก หวาน มัน เค็ม ฉลากไหนที่ช่วยให้หนูตัดสินใจเลือกขนมนี้ได้ดีต่อสุขภาพมากขึ้น” (ดูรูปที่ 3) คำตอบมี 3 ตัวเลือก ประกอบด้วย ข้อ 1 A ข้อ 2 B และข้อ 3. ไม่ใช่ทั้ง A และ B คุณผู้อ่านลองเดาคำตอบก่อนได้ไหมค่ะว่า เด็กๆ จะเลือกคำตอบใด การสำรวจนี้พบว่า เด็กไทยครึ่งหนึ่งของ 2,113 คน (ร้อยละ 50.6) เลือก ข้อ 2 B คือ ฉลากเขียวเหลืองแดงค่ะ ในขณะที่เกือบร้อยละ 40 (ร้อยละ 39.7) ของเด็กเลือกฉลาก A และมีเพียงร้อยละ 9.7 ไม่เลือกทั้ง 2 ฉลากเลย หรือพูดง่ายๆ คือ ในเด็กไทย 10 คน มี 5 คน เลือกฉลากเขียวเหลืองแดง 4 คน เลือกฉลากหวานมันเค็ม และ 1 คน ไม่เลือกฉลากทั้ง 2 ฉลากค่ะ
รูปที่ 3 ฉลากหวานมันเค็มและฉลากเขียวเหลืองแดง
ที่มาของรูป: แบบสอบถามของโครงการการติดตามการตลาดอาหารและเครื่องดื่มในเด็กของประเทศ 2567
จากคำตอบข้างต้น เราจะเห็นได้ว่า การเปรียบเทียบระหว่างฉลากหวานมันเค็ม 2 แบบ เด็กไทยมากเกินครึ่งเข้าใจฉลากหวานมันเค็ม (ร้อยละ 64.9) และเด็กไทยตัดสินใจเลือกขนมที่ดีต่อสุขภาพโดยเปรียบเทียบระหว่างฉลากหวานมันเค็มและฉลากเขียวเหลืองแดงแตกต่างกัน ที่เป็นเช่นนี้อาจเพราะประเทศไทยมีการใช้ฉลากหวานมันเค็มมาตั้งแต่ปี 2559 ในขณะที่ไม่ได้มีการใช้ฉลากเขียวเหลืองแดงในประเทศไทย เด็กไทยจึงคุ้นเคยหรือพบเห็นฉลากหวานมันเค็มมากกว่าฉลากเขียวเหลืองแดง2 ทำให้ไม่พบความแตกกันมากนักของการเลือกระหว่างฉลากหวานมันเค็มและฉลากเขียวเหลืองแดง อีกทั้งเด็กเข้าใจฉลากไม่ได้หมายความว่าเด็กจะเปลี่ยนพฤติกรรมการเลือกอาหารได้ การเลือกขนมขบเคี้ยวมาจากรสชาติ ความชอบ ราคา และการทำการตลาดยังเป็นปัจจัยที่มีอิทธิต่อการเลือกมากกว่าข้อมูลโภชนาการบนฉลาก3, 4
เด็กไทยเลือกใช้ฉลากหวานมันเค็มได้ถูกต้อง และผลการเลือกรูปแบบฉลากอาหารใกล้เคียงกันทั้งฉลากหวานมันเค็มและฉลากเขียวเหลืองแดง อย่างไรก็ตาม สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาควรส่งเสริมการใช้ฉลากที่เด็กเข้าใจง่ายด้วยการออกแบบฉลากให้ชัดเจนและดึงดูดความสนใจเช่นฉลากเขียวเหลืองแดง เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการตัดสินใจเลือกอาหารได้อย่างเหมาสมและที่ดีต่อสุขภาพของเด็กไทย
เอกสารอ้างอิง