“โลกการแสดง ทำให้ฉันเรียนรู้ที่จะเข้าใจ อารมณ์และความรู้สึกของตัวละคร
โลกการวิจัย ทำให้ฉันเรียนรู้ที่จะเข้าถึง มุมมองและประสบการณ์ที่หลากหลายของผู้คน”
โลกของนักแสดงโทรทัศน์ สอนให้ฉัน “เล่าเรื่องให้ผู้ชมเข้าใจและอินไปกับบทบาทของตัวละคร”
ในขณะที่ โลกของนักวิจัย สอนให้ฉัน “ฟังเรื่องของคนอื่นอย่างลึกซึ้งและเล่าออกไปแบบไม่ตัดสิน”
แม้สองโลกนี้จะดูห่างไกลกัน แต่ทั้งสองโลกต่างใช้ “การเล่าเรื่อง” (Storytelling)
และเมื่อการเล่าเรื่องนั้นทำงานร่วมกับความน่าเชื่อถือ การมีส่วนร่วม และการเข้าถึงได้ง่าย มันก็จะก้าวข้ามจากการเป็นเพียงเรื่องเล่า ไปสู่พลังที่เราเรียกว่า Soft Power
ในโลกบันเทิง ทุกการแสดงเริ่มจาก “บท” หรือ “สคริปต์” สิ่งที่ผู้ชมจดจำไม่ใช่เพียงคำพูด แต่คือ “ความรู้สึก” ที่ส่งออกไป ผ่านสายตา น้ำเสียง หรือแม้แต่จังหวะที่เว้นว่างให้คนดูหายใจไปพร้อมกับตัวละคร ทุกเสี้ยววินาทีคือศิลปะการสื่อสารที่ลึกกว่าคำพูด เพราะ “กล้องไม่เคยโกหก” เบื้องหน้าอาจสมบูรณ์แบบบนหน้าจอ แต่เบื้องหลังเต็มไปด้วยความพยายามซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ในโลกวิจัย ทุกการศึกษาก็เริ่มจาก “โจทย์หรือปัญหา” สิ่งที่ดูเป็นเพียงตัวเลขหรือคำตอบจากการสัมภาษณ์ เมื่อถ่ายทอดออกมาอย่างมีน้ำหนัก ก็กลายเป็นเรื่องราวชีวิตจริงที่ทำให้ผู้ฟังไม่เพียง “เข้าใจด้วยหัว” แต่ยัง “รู้สึกด้วยใจ”
สุดท้ายแล้ว จุดที่สองโลกนี้ซ้อนกันก็คือ “การเล่าเรื่อง” ที่ผสาน พลังข้อมูลเข้ากับพลังอารมณ์ เพื่อส่งสารให้ “ตรงใจ” และ “ตราตรึงใจ” เพียงเพื่อหวังว่าจะสามารถเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนเล็กๆ ที่จะสามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงสังคมได้จริง
และนี่เองคือจุดที่ทำให้ฉันตระหนักว่า ข้อมูลไม่ใช่เพียงตัวเลขหรือรายงาน แต่เมื่อถูกเล่าอย่างมีพลัง มันสามารถ “หายใจ” และ “มีชีวิต” ได้ จนกลายเป็น Soft Power ที่ดึงดูดและสร้างการเปลี่ยนแปลงได้จริง
Soft Power ไม่ใช่เพียงคำสวยหรู แต่คือพลังที่สร้างแรงดึงดูดและอารมณ์ร่วมได้จริง ประกอบด้วย 4 มิติหลัก ได้แก่ Credibility การมีความน่าเชื่อถือ ที่ช่วยทำให้ข้อมูลมีน้ำหนัก Storytelling การเล่าเรื่องที่ทำให้เข้าใจง่ายและดึงดูด Engagement การสร้างการมีส่วนร่วมและมีปฏิสัมพันธ์ ที่เปลี่ยนผู้ฟังให้กลายเป็นผู้ร่วมสร้างหรือผู้สนับสนุน และ Accessibility การเข้าถึงทั้งทางกายภาพและทางดิจิทัล (Almakaty, 2025)
แผนภาพ Soft Power ในการสื่อสารงานวิจัย
เพื่อเปลี่ยนข้อมูลวิจัยให้กลายเป็นพลังที่สร้างแรงบันดาลใจและการเปลี่ยนแปลง ฉันจึงเลือกใช้ Storytelling เป็นหัวใจสำคัญ เพราะสามารถช่วยเปลี่ยนข้อมูลวิจัยให้กลายเป็นเรื่องราวที่เข้าถึงง่ายและมีความหมายต่อชีวิตจริง ซึ่ง จุดตัดกันของสองโลก ก็คือ การใช้เทคนิคจากวงการบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นการสบตาผู้ฟัง การเลือกใช้คำพูดที่กระทบแทกใจ หรือการเล่าเรื่องด้วยน้ำเสียงที่มีพลัง ช่วยให้งานวิจัยมีชีวิตและเข้าถึงได้จริงมากยิ่งขึ้น เมื่อผู้ฟังเกิดอารมณ์ร่วม พวกเขาจะมีแรงบันดาลใจในการนำสิ่งที่ได้เรียนรู้นั้นไปใช้จริง ไม่ให้หยุดอยู่แค่ในรายงาน ซึ่งนี่คือ กลไกที่ทำให้ Soft Power เชื่อมโยงไปสู่ Social Impact ได้ในที่สุด
สำหรับฉัน Social Impact คือการที่ความรู้หรือข้อมูล ไม่ได้หยุดอยู่แค่การสร้างความเข้าใจหรืออารมณ์ร่วมในรายงานเท่านั้น แต่ถูกนำไปใช้จนเกิดการเปลี่ยนแปลงจริงต่อผู้คนและสังคม และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อ Soft Power มาบรรจบกับโลกการวิจัย
ตัวอย่างเช่น ในการนำเสนอผลงานวิจัยด้านโครงสร้างประชากรถูกถ่ายทอดผ่านอินโฟกราฟิกและเวทีชุมชน จนกลายเป็นเครื่องมือให้คนในท้องถิ่นสามารถใช้วางแผนการดูแลผู้สูงอายุ หรือการนำข้อมูลบางส่วนไปต่อยอดในบทละครโทรทัศน์ ทำให้ประเด็นวิชาการเข้าถึงคนดูในวงกว้าง และถูกพูดถึงในสังคมอย่างจริงจัง
การเป็นนักแสดงสอนให้ฉันกล้าสื่อสารกับผู้คน ส่วนการเป็นนักวิจัยสอนให้ฉันคิดอย่างเป็นระบบ และเมื่อสองโลกนี้มารวมกัน ฉันสามารถเลือกใช้บทบาทในการแสดง ชื่อเสียง และเครือข่ายจากวงการบันเทิง มาเป็นสะพานเชื่อมให้ข้อมูลวิชาการเดินทางได้ไกลขึ้น ไม่ใช่เพียงข้อมูล แต่คือพลังที่เปลี่ยนความรู้ให้กลายเป็น Social Impact ที่จับต้องได้จริง
“เวทีนักแสดงโทรทัศน์” vs “เวทีชุมชน”
“ลองค้นหาสองโลกในชีวิตคุณ แล้วสร้างสะพานให้มันมาบรรจบกันอย่างเต็มศักยภาพ”
“จากสองโลกที่แตกต่าง ฉันได้เรียนรู้ว่า โลกไม่ได้เปลี่ยนเพราะข้อมูลมากขึ้น แต่เพราะเรื่องราวถูกเล่าให้คน อิน และ
ลงมือทำ ไม่ว่าคุณจะอยู่บนเวทีใด หากเล่าเรื่องด้วยหัวใจ ฟังด้วยความเข้าใจ
ฉันเชื่อว่า เวทีของคุณก็มีพลังสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้ค่ะ”
“งานวิจัยที่คนเข้าใจ คือบทสนทนาที่เริ่มเปลี่ยนโลก” และ
“การเล่าเรื่องคือสะพานระหว่างข้อมูลและความรู้สึก”