The Prachakorn

บนเส้นทางสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด ไปไง มาไง มาเป็น “ผู้สูงอายุ”


ปราโมทย์ ประสาทกุล

16 ตุลาคม 2568
30



“โอ้ชีวิตคิดไฉน ใครหนอใครลิขิต ประกาศิตของศิวะ หรือของพระพรหมเจ้า…”

“ดาวลูกไก่” เพลงทำนองลิเก ขับร้องโดย พร ภิรมย์ เป็นเพลงที่ผมชอบมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กเรียนอยู่ชั้นมัธยม โอ้ชีวิตคิดไฉน ใครหนอลิขิต... ใครหนอใครลิขิตให้เด็กบ้านนอกคนนั้น เจริญเติบโตจากทารกเป็นเด็กจนเป็นผู้ใหญ่ มีชีวิตอยู่รอดมาจนมีอายุจะถึงหลักแปดสิบในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

บางครั้งเมื่อนั่งสงบใจนิ่งๆ ก็เผลอคิดถามตัวเองว่าใครหนอใครลิขิตให้ตัวเรามีชีวิตอยู่มานานจนอายุเกิน 77 ปี ใครหนอลิขิตให้ผมกลายมาเป็น “ผู้สูงอายุ” อย่างเต็มภาคภูมิแล้วในวันนี้

คำว่า “ผู้สูงอายุ” เริ่มใช้กันมาตั้งแต่เมื่อไร

เมื่อผมยังเป็นเด็ก ผมไม่เคยได้ยินใครใช้คำนี้เรียกคนที่มีอายุมากๆ กัน ผมได้ยินเขาเรียกคนที่มีอายุมากๆ ว่า ผู้เฒ่า ผู้แก่ ปู่ ย่า ตา ยาย คนแก่ คนชรา เคยได้ยินว่ามี “บ้านพักคนชรา” ที่บางแค ที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “บ้านบางแค” ได้ยินผู้ใหญ่พูดกันว่าแก่แล้วไม่มีลูกหลานดูแล ก็จะถูกส่งให้ไปอยู่บ้านบางแค
ผมเพิ่งจะมาได้ยินคำว่า “ผู้สูงอายุ” บ่อยครั้งขึ้น เมื่อกลับมาจากต่างประเทศ มาทำงานที่สถาบันวิจัยประชากรและสังคม

ตอนนั้นผมทำงานเรื่องประชากร เวลาแบ่งประชากรออกตามกลุ่มอายุใหญ่ๆ ก็แบ่งประชากรออกเป็นวัยเด็ก วัยทำงาน และวัยชรา วัยชราก็เริ่มต้นกันที่อายุ 60 ปี คือ 5 รอบปีนักษัตร รอบปีนักษัตรหนึ่งมี 12 ปี ตั้งแต่ชวดหนูไปจนถึงกุนสุกร คนไทยเชื้อสายจีนมีประเพณีฉลองอายุครบ 60 ปี ที่เรียกกันว่างาน “แซยิด”

จำได้ว่ามีการประชุมทำแผนผู้สูงอายุระยะยาว เมื่อราวปี 2523-24 มีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เป็นหน่วยงานหลักในการทำแผนนี้ ผมยังจำได้ว่าเคยไปประชุมที่กรมการแพทย์ เรื่องผู้สูงอายุครั้งหนึ่ง มีอาจารย์ นายแพทย์บรรลุ ศิริพานิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ (ขณะนั้น) เป็นประธาน แผนผู้สูงอายุ ฉบับนั้นนับเป็นแผนผู้สูงอายุแห่งชาติฉบับแรกของประเทศไทย เป็นแผนระยะยาว 20 ปี 2525 ถึง 2544 แผนนี้มุ่งเน้นไปที่การดูแลสุขภาพอนามัยของผู้สูงอายุ เช่น การส่งเสริมสุขภาพ การรักษาและฟื้นฟูสมรรถนะ รวมถึงสวัสดิการสังคม ส่งเสริมให้ครอบครัวมีบทบาทหลักในการดูแลผู้สูงอายุ และสนับสนุนการให้บริการผู้สูงอายุที่ขาดที่พึ่งพิง

ผู้สูงอายุในแผนฯ นี้ หมายถึงผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป 

การที่เราถือเอาอายุ 60 ปีขึ้นไป เป็นเกณฑ์เรียกผู้สูงอายุนั้น น่าจะเริ่มมาจาก พรบ. บำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 

“มาตรา 9 ข้าราชการมีสิทธิได้รับบำเหน็จบำนาญปกติด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ 
    1.เหตุทดแทน
    2.เหตุทุพพลภาพ
    3.เหตุสูงอายุ
    4.เหตุรับราชการนาน”

“มาตรา 13 บำเหน็จบำนาญเหตุสูงอายุนั้นให้แก่ข้าราชการผู้มีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์แล้ว”

เมื่อราวปี 2490 นั้น “อายุคาดเฉลี่ย” ของคนไทยตั้งแต่เกิดยืนยาวไม่ถึง 50 ปี อายุ 60 ปี ซึ่งพอดีกับการมีอายุครบรอบ 5 ปีนักษัตร จึงถือว่าเป็นเกณฑ์เรียกผู้สูงอายุที่ดูเหมาะสม ประเทศไทยจึงใช้เกณฑ์อายุ 60 ปี เรียกผู้สูงอายุ และใช้เป็นเกณฑ์อายุเกษียณสำหรับผู้รับราชการตั้งแต่นั้นมา

ต่อมา เรามี พรบ. ผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 พรบ. นี้นิยามคำว่าผู้สูงอายุไว้ว่า “มาตรา 3 ในพระราชบัญญัตินี้ ผู้สูงอายุ หมายความว่า บุคคลซึ่งมีอายุเกิน 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป และมีสัญชาติไทย”

พรบ. ผู้สูงอายุฯ ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์สำคัญคือกำหนดอายุผู้ได้รับสิทธิต่างๆ เช่น สิทธิในการลดค่าโดยสารรถสาธารณะ สิทธิเข้าวนอุทยาน พิพิธภัณฑ์ สิทธิได้รับบริการต่างๆ โดยเฉพาะการได้รับเบี้ยยังชีพ

สหประชาชาติใช้อายุ 65 ปีเป็นเกณฑ์แบ่งผู้สูงอายุ

ในฐานะที่ผมทำงานเกี่ยวกับข้อมูลประชากรมานาน เมื่อต้องขีดเส้นว่าอายุ 60 ปี จะต้องเป็นผู้สูงอายุ แล้วก็รู้สึกขัดข้องใจ ในรายงานสถิติประชากรของสหประชาชาติ แบ่งประชากรออกเป็น 3 ช่วงอายุหลัก คือ อายุ 0-14 ปี เป็นประชากรวัยเด็ก อายุ 15-64 ปี เป็นประชากรวัยทำงาน และอายุ 65 ปีขึ้นไป เป็นประชากรวัยสูงอายุ

ในรายงานสถิติประชากรของสหประชาชาติอีกเช่นกัน เขาคำนวณ “อัตราส่วนพึ่งพิง” (dependency ratio) เพื่อแสดงให้เห็นโครงสร้างอายุของประเทศต่างๆ อัตราส่วนพึ่งพิง เท่ากับประชากรอายุ 0-14 ปี รวมกับประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไป หารด้วยประชากรอายุ 15 ถึง 64 ปี 

โดยมีข้อสมมติว่าประชากรวัยเด็กและวัยสูงอายุ เป็นวัยที่ไม่อยู่ในกำลังแรงงานต้องพึ่งพิงรายได้จากคนวัยทำงาน

สหประชาชาติใช้อายุ 65 ปี เป็นเกณฑ์เรียก “ผู้สูงอายุ”  
แล้วทำไมประเทศไทยจึงจะยังใช้อายุ 60 ปี เป็นเกณฑ์เรียกผู้สูงอายุอยู่อีกเล่า? 

 


Tags :

CONTRIBUTOR

Related Posts
Copyright © 2020 สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม 73170
โทรศัพท์ 02-441-0201-4 โทรสาร 02-441-9333
Webmaster: piyawat.saw@mahidol.ac.th