The Prachakorn

ในป่าดำ มีนาฬิกากุ๊กกู


สุภรต์ จรัสสิทธิ์

23 ตุลาคม 2568
26



เสียง “กุ๊กกู” ที่ดังออกมาจากนาฬิกากุ๊กกู (cuckoo clock) บนผนังบ้าน คือเสียงที่ถูกออกแบบให้เลียนเสียงร้องของนกกุ๊กกู (cuckoo) นกประจำถิ่นที่พบได้ทั่วไปในยุโรป ทุกต้นชั่วโมงนาฬิกากุ๊กกูจะส่งเสียงร้องซ้ำๆ ตามจำนวนชั่วโมง เช่น ถ้าเป็นเวลา 7 โมงเช้าก็จะได้ยินเสียงร้องต่อเนื่อง 7 ครั้ง เมื่อฟังบ่อยๆ ก็รู้สึกเพลินเหมือนมีนกกุ๊กกูมาบินอยู่ในบ้าน นอกจากเสียงร้องของนาฬิกากุ๊กกูที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว นาฬิกายังถูกออกแบบเป็นกระท่อมไม้ในชนบท มีหญิงสาวใส่ผ้ากันเปื้อนสีแดงอย่างชุดพื้นเมืองในอดีต หรือฉากวิถีชีวิตชาวบ้านนั่งกันอยู่หน้าบ้าน เมื่อเสียงนกร้องและกระท่อมไม้มารวมกัน นาฬิกากุ๊กกูจึงเป็นมากกว่าเครื่องบอกเวลา แต่ยังเป็นงานศิลป์ที่หลายคนน่าจะอยากมีไว้ติดบ้านบ้างสักเรือน

รูปภาพ: บรรยากาศร้านค้าข้างทางตกแต่งด้วยนาฬิกากุ๊กกูในเมือง Triberg
รูปภาพโดยสุภรต์ จรัสสิทธิ์

มาถึงป่าดำก็ต้องกินเค้ก black forest 

จากความชอบในนาฬิกากุ๊กกู ทำให้เมื่อครั้งที่เที่ยวอยู่ที่เมืองซูริค ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ผู้เขียนตัดสินใจเช่ารถขับไป 128 กิโลเมตร ข้ามพรมแดนสู่เมือง Triberg เมืองชนบทเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ใจกลางป่าดำหรือที่รู้จักกันในชื่อ black forest ของประเทศเยอรมนี เมืองที่เป็นต้นกำเนิดของนาฬิกากุ๊กกู ในช่วงระหว่างการเดินทาง ทิวทัศน์รอบข้างถนนค่อยๆ เปลี่ยนไปจนกลายเป็นผืนป่าสนขนาดกว้างใหญ่ ปกคลุมไปทั้งเนินเขาและพื้นที่ราบสลับไปทุ่งหญ้าสีเขียว มองไปทางไหนก็เห็นแต่แนวต้นสนหนาแน่นบนภูเขาสูงตั้งอยู่เรียงรายจนแน่นเต็มพื้นที่จนกลายเป็นสีเขียวเข้มเกือบดำ ทำให้เข้าใจได้ทันทีว่าทำไมพื้นที่แห่งนี้จึงถูกเรียกว่า black forest และเมื่อมาถึงเมือง Triberg สิ่งแรกที่ต้องทำคือการกินขนมเค้ก black forest เค้กที่มีชื่อเดียวกับดินแดนนี้ เค้กช็อกโกแลตที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยรสหวานตัดเปรี้ยวของเชอรี่ ตัวผู้เขียนเองเพิ่งรู้ว่าหากจะเรียกว่าเค้ก black forest ได้ จะต้องใช้บรั่นดีเชอร์รี่ที่มาจากพื้นที่ black forest เท่านั้น ทำให้แอบสงสัยขึ้นมาทันทีว่า เค้กที่เคยกินจากที่ต่างๆ จะใช้วัตถุดิบจากที่นี่ด้วยหรือไม่ แต่อย่างน้อย ครั้งนี้มั่นใจได้ว่าเค้กที่ได้ทานในเมือง Triberg นี้ ต้องเป็นเค้กที่เป็นต้นตำรับของจริงอย่างแน่นอน 

มาถึงเมือง Triberg ก็ต้องได้เห็นนาฬิกากุ๊กกู

ถึงแม้ว่าจะได้มาทานเค้ก black forest ที่เป็นต้นตำรับ แต่ความอร่อยของเค้กชิ้นโตก็ไม่ทำให้มีความสุขมากไปกว่าการได้เห็นนาฬิกากุ๊กกูแขวนเรียงรายอยู่ตามร้านค้าตลอดทางในเมือง Triberg ร้านค้าแต่ละแห่งตกแต่งผนังด้วยนาฬิกากุ๊กกูหลากหลายขนาด ทั้งเรือนขนาดเล็กน่ารักไปจนถึงเรือนขนาดใหญ่หลายสิบเรือน ที่แขวนอยู่เต็มผนังจนรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในพิพิธภัณฑ์นาฬิกากลางเมือง บรรยากาศภายในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติป่าเขา จนอดนึกไม่ได้ว่าคนรุ่นใหม่ที่นี่จะยังคงใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเล็กนี้ หรือย้ายไปหางานในเมืองใหญ่กันหมดแล้ว เมื่อลองค้นหาข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติของเยอรมนีพบว่า ประชากรในเมือง Triberg ลดลงทุกปี ปัจจุบันในปี 2568 มีจำนวนไม่ถึง 5,000 คน บนพื้นที่เพียง 33.33 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น ถ้าเทียบกับเมืองไทยแล้ว พบว่ามีขนาดใหญ่กว่าเกาะสีชังประมาณสองเท่า อายุมัธยฐานของประชากรในเมืองนี้อยู่ที่ 45.1 ปี นั่นหมายความว่า มีคนอายุมากกว่า 45 ปี อาศัยอยู่ในเมืองนี้ราว 2,000 กว่าคน 

รูปภาพ: เมือง Triberg ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ Black Forest เต็มไปด้วยแนวต้นสนเรียงรายบนเนินเขา
รูปภาพโดยสุภรต์ จรัสสิทธิ์

อีกหนึ่งความตั้งใจของการมาเมือง Triberg คือการไปดูนาฬิกากุ๊กกูที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่ตัวบ้านไม้มีความสูงกว่า 4.5 เมตร ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเดินเข้าไปชมด้านในบ้านได้ และขึ้นไปถึงชั้นบนของบ้านเพื่อดูกลไกการทำงานของนาฬิกา ภายนอกของบ้านจะมีนกตัวใหญ่โผล่ออกมาร้องบอกเวลาในทุกต้นชั่วโมง หลังจากเดินชมกลไกการทำงานของนาฬิกากุ๊กกูแล้ว ก็ถึงเวลาที่ผู้เขียนจะได้มีนาฬิกากุ๊กกูเป็นของตัวเองสักเรือน ที่ร้านขายของที่ระลึกมีนาฬิกาให้เลือกตั้งแต่ราคาหลักพันไปจนถึงหลักหลายหมื่น ขึ้นกับลักษณะความหรูหราของตัวนาฬิกา 

รูปภาพ: นาฬิกากุ๊กกูที่ใหญ่ที่สุด
รูปภาพโดยสุภรต์ จรัสสิทธิ์

ความรู้สึกที่ได้มายังเมืองต้นกำเนิดของนาฬิกากุ๊กกู ได้มาชิมเค้ก black forest ต้นตำรับ และได้สัมผัสบรรยากาศชนบทกลางป่าดำของเยอรมนี เพียงเท่านี้การเดินทางแบบเช้าไปเย็นกลับก็เต็มอิ่มไปด้วยความสุขแล้ว และก็แอบเผลอคิดเล่น ๆ ว่า หากวันหนึ่งนาฬิกากุ๊กกูไม่ร้อง “กุ๊กกู” แบบนกยุโรป แต่เปลี่ยนเป็นเสียง “กาเหว่า ๆ” เหมือนนกที่เราคุ้นหูได้ยินในชนบทไทย นาฬิกาเรือนนั้นก็คงมีเสน่ห์แบบไทยๆ ที่ไม่เหมือนใคร แต่ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกาแบบไหน นาฬิกาก็ยังคงทำหน้าที่บอกเวลา เตือนให้เราทุกคนรักษาเวลาและใช้เวลาไปกับทุกวันอย่างคุ้มค่า 

 


Tags :

CONTRIBUTOR

Related Posts
Copyright © 2020 สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม 73170
โทรศัพท์ 02-441-0201-4 โทรสาร 02-441-9333
Webmaster: piyawat.saw@mahidol.ac.th