การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรเป็นหนึ่งในกระแสการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ (mega trend) อันเนื่องมาจากอัตราส่วนของผู้สูงอายุต่อจำนวนประชากรรวมเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ประชากรมีอายุยืนยาวขึ้นและจำนวนบุตรเฉลี่ยต่อผู้หญิงหนึ่งคน (อัตราเจริญพันธุ์) ลดต่ำลงกว่าระดับทดแทนพ่อแม่ที่เสียชีวิต หลายประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญสถานการณ์นี้ และมีความพยายามจะชะลอการลดลงของอัตราเจริญพันธุ์รวม (Total Fertility Rate-TFR) และเพิ่มจำนวนเด็กเกิดเพื่อเป็นประชากรวัยแรงงานและสร้างผลิตภาพทางเศรษฐกิจในอนาคต
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอัตราเจริญพันธุ์ต่ำที่สุดเป็นลำดับที่ 17 ของโลกและลำดับที่ 4 ในเอเชีย รองจากเกาหลีใต้ สิงคโปร์ และจีน ตามลำดับ1 อย่างไรก็ตาม การคาดประมาณอัตราเจริญพันธุ์รวมของประเทศไทยในปี 2568 เท่ากับ 0.932 ซึ่งหมายความว่า ผู้หญิงไทยคนหนึ่งจะมีบุตรเฉลี่ย 0.93 คนตลอดวัยเจริญพันธุ์ (อายุ 15-49 ปี) อัตราเจริญพันธุ์รวมของประเทศไทยที่คาดประมาณนี้ต่ำกว่าที่สหประชาชาติคาดประมาณไว้ (1.2) และต่ำกว่าอัตราเจริญพันธุ์รวมของสิงคโปร์ (0.96)
หลายประเทศทั่วโลกมีการออกนโยบายส่งเสริมการเกิด (pronatalist policies) เพื่อตอบสนองต่ออัตราเจริญพันธุ์รวม ที่ลดต่ำกว่าระดับทดแทนประชากร (2.1) ซึ่งเป็นระดับที่สามารถทดแทนพ่อแม่ที่เสียชีวิต โดยเฉพาะประเทศในแถบยุโรปตะวันตก เอเชียตะวันออก และบางประเทศในโอเชียเนียและอเมริกาเหนือ
จากข้อมูลในตาราง จะเห็นได้ว่า นโยบายที่ช่วยให้ผู้หญิงสามารถทำงานและเลี้ยงลูกได้พร้อมกัน (work-family balance) เช่น การลาคลอด/การลาของพ่อแม่ที่ได้รับค่าตอบแทน การสนับสนุนค่าเลี้ยงดูเด็ก และบริการดูแลเด็กที่เข้าถึงได้ง่ายมีแนวโน้มช่วยให้อัตราเจริญพันธุ์รวมสูงขึ้นในยุโรปเหนือ/ตะวันตก เช่น สวีเดน และ ฝรั่งเศส3-7 ขณะที่ในเอเชียตะวันออก เช่น สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ที่ผ่านมา แม้มีนโยบายหลายอย่าง แต่อัตราเจริญพันธุ์รวมยังต่ำมาก ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากปัจจัยทางสังคม เศรษฐกิจและวัฒนธรรม6, 8-11 ที่เป็นข้อจำกัดในการเลี้ยงดูลูก เช่น ภาวะเศรษฐกิจไม่มั่นคงทำให้ครอบครัวกังวลกับค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูลูกที่เพิ่มขึ้น การเสียโอกาสการทำงานของผู้หญิงที่ต้องหยุดงานเพื่อดูแลลูก และวิถีชีวิตที่ต้องการเวลาและอิสระในการทำงานหรือทำกิจกรรมที่ชอบ ซึ่งหากมีลูกจะไม่สามารถทำได้อีก ส่วนในประเทศรายได้ต่ำ เช่น ไนจีเรีย และ เอธิโอเปีย อัตราเจริญพันธุ์รวมยังสูง จึงยังไม่มีนโยบายส่งเสริมการเกิด12, 13
ประเทศเกาหลีใต้มีอัตราการเกิดเพิ่มขึ้นอีกครั้งในปี 2025 หลังลดติดต่อกันมา 9 ปี โดยรัฐบาลของประเทศได้มีความพยายามหลายอย่าง ทั้งการให้เงินของขวัญ (baby bonus) สูงถึง 100 ล้านวอน หรือเทียบเป็นเงินไทยมากกว่า 2 ล้านบาท14 สำหรับค่าเล่าเรียนระดับชั้นอนุบาล 3 ปีในโรงเรียนนานาชาติในประเทศ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายประมาณ 96 ล้านวอน ไม่รวมค่าแรกเข้าและค่าใช้จ่ายอื่นๆ จะเห็นได้ว่า เงินโบนัสที่รัฐบาลเกาหลีใต้ให้นั้นมากพอที่จะจูงใจให้คนที่วางแผนจะมีลูก สามารถตัดสินใจมีลูกได้ไม่ยาก เพราะนโยบายดังกล่าวสามารถลดความกังวลใจเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายและคุณภาพการศึกษาของลูกอย่างน้อยในช่วงปีแรกๆ ที่มีความสำคัญมากในการพัฒนาคุณภาพประชากร
ประเทศเกาหลีใต้ยังมีมาตรการจูงใจทางภาษี หากมีลูก 1 คนจะสามารถลดหย่อนภาษีได้อีก USD 350 ต่อปี เทียบเป็นเงินไทยประมาณ 12,000 บาท พ่อแม่สามารถลาคลอดบุตรได้ 6 เดือนโดยได้รับค่าจ้างเต็ม 100% โดยรัฐเป็นคนจ่าย นอกจากนี้ รัฐยังเก็บข้อมูลจำนวนเด็กเกิดในแต่ละบริษัทและหน่วยงาน14 เพื่อนำมาวิเคราะห์และใช้ปรับนโยบายส่งเสริมการเกิดให้สอดคล้องและตรงเป้าหมายมากยิ่งขึ้น
นโยบายส่งเสริมการเกิดดังกล่าวทำให้ผลการสำรวจทัศนคติเกี่ยวกับการแต่งงานดีขึ้น เกินกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถาม (52.5%) แสดงทัศนคติเชิงบวกต่อการแต่งงาน ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2014 หรือในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา มาตรการทั้งหมดนี้ทำให้อัตราเจริญพันธุ์รวมเพิ่มขึ้น จากที่ลดลงอย่างต่อเนื่องมาเกือบ 10 ปี
ตัวอย่างของประเทศเกาหลีใต้แสดงให้เห็นความพยายามหลายอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มอัตราเจริญพันธุ์รวม ทั้ง baby bonus ที่ทุ่มเงินจำนวนมหาศาล การลดหย่อนภาษี และการขยายระยะเวลาลาคลอดทั้งพ่อและแม่จาก 3 เดือนเป็น 6 เดือนและรัฐจ่ายค่าจ้างให้เต็มจำนวน โดยรัฐไม่เพียงสนับสนุนเงินเท่านั้น แต่ยังสะท้อนความรับผิดชอบในการเลี้ยงดูลูกว่า เป็นหน้าที่ทั้งของพ่อและแม่อย่างเท่าเทียมกัน เพราะเป็นนโยบายที่ให้สิทธิการลางานเพื่อดูแลลูกทั้งพ่อและแม่
แนวทางการส่งเสริมการมีบุตรลักษณะนี้ ยังพบได้ในประเทศอื่นๆ ในเอเชีย เช่น ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งส่งผลให้อัตราเจริญพันธุ์รวมสูงขึ้นในช่วงหนึ่งเช่นเดียวกัน แต่ต่อมาอัตราเจริญพันธุ์รวมก็ลดลงไปอีก อันเนื่องจากปัจจัยต่างๆ ที่ไม่ใช่เพียงเรื่องของเศรษฐกิจหรือค่าใช้จ่ายในครอบครัวเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของระบบนิเวศทางสังคมที่สามารถเอื้อให้ครอบครัวสามารถเลี้ยงดูบุตรได้อย่างที่คาดหวังได้หรือไม่ พ่อแม่คาดหวังจะส่งลูกเข้าโรงเรียนที่มีชื่อเสียง ประเทศสิงคโปร์ยังมีนโยบายให้ลูกคนที่ 2 และ 3 ได้เข้าเรียนในโรงเรียนเดียวกับพี่ได้เลย ทำให้ช่วยลดภาระของพ่อแม่ในการหาโรงเรียนให้ลูกคนต่อมาได้อย่างมาก15
หากย้อนมามองประเทศไทย... “เราพร้อมหรือยังที่จะมีนโยบายหนุนผู้หญิงทำงานและเลี้ยงลูกไปพร้อมกัน เหมือนยุโรปเหนือ/ตะวันตก?” “ประเทศไทยพร้อมหรือยังที่จะลงทุนจริงจัง ด้วยเงินอุดหนุน และสิทธิ์ลาคลอดพร้อมรับค่าจ้างเต็ม 6 เดือน เหมือนเกาหลีใต้?” หากประเทศไทยมีมาตรการเช่นเดียวกันนี้ เชื่อว่าครอบครัวไทยพร้อมจะตอบสนองนโยบายการมีบุตรเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าเกาหลีใต้แน่นอน
ปัจจุบันประเทศไทยต้องการจำนวนเด็กเพิ่มขึ้น หรือต้องการเพิ่มคุณภาพของเด็ก เพื่อที่จะเติบโตเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าของประเทศ เราต้องการเด็กที่แข็งแรงทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ พร้อมปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เทคโนโลยี และสภาพภูมิอากาศ ความคาดหวังของพ่อแม่ว่าลูกจะได้พัฒนาความสามารถได้เต็มศักยภาพทั้งทักษะวิชาชีพ (hard skill) และทักษะทางสังคม (soft skill) ประเทศไทยมีการศึกษาฟรีให้แต่เป็นในระดับขั้นพื้นฐาน ซึ่งอาจไม่ตอบโจทย์พ่อแม่บางคนที่ต้องการให้ลูกตัวเองมีการศึกษาในระดับสูงๆ เข้าสถาบันการศึกษาชั้นนำ ดังนั้นพ่อแม่ยังคงต้องเตรียมเงินเพื่อการศึกษาที่มีค่าใช้จ่ายสูงมาก เพื่อตอบสนองความคาดหวังเชิงคุณภาพของผลลัพธ์การศึกษา ค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยในการเลี้ยงลูกคนหนึ่งจนจบปริญญาตรีอยู่ที่ประมาณ 3 ล้านบาท บางคนไม่พร้อมจะเสียสละทรัพยากรที่หามาได้ด้วยความยากลำบาก ทั้งเงินและเวลา และรวมทั้งวิถีชีวิต (lifestyle) เพื่อหาเงินดูแลลูก ในเมื่อการเลี้ยงดูลูกมีค่าใช้จ่ายมาก
แม้ประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤตเด็กเกิดน้อยและสังคมสูงวัย แต่หากมองอย่างสร้างสรรค์ วิกฤตนี้สามารถพลิกเป็นโอกาสสำคัญในการพัฒนาประชากรได้ โดยเริ่มจากการทำให้ “ทุกการเกิดมีคุณภาพ” ผ่านการลงทุนด้านสุขภาพแม่และเด็ก การพัฒนาเด็กปฐมวัย และการยกระดับระบบการศึกษาให้เข้มแข็งและตอบสนองการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจ เพื่อสร้างพลเมืองรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพสูง แม้จำนวนเด็กจะน้อยลงแต่มีคุณภาพมากขึ้น ในขณะเดียวกัน สถานการณ์แรงงานที่ลดลงสามารถใช้เป็นแรงผลักดันในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่เศรษฐกิจฐานความรู้และนวัตกรรม ควบคู่กับการพัฒนาทักษะแรงงาน (reskilling และ upskilling) รวมถึงการสนับสนุนให้ผู้สูงอายุมีโอกาสทำงานในอาชีพที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มศักยภาพของกำลังแรงงานโดยรวม
นอกจากนี้ การเข้าสู่สังคมสูงวัยยังเป็นโอกาสในการพัฒนาอุตสาหกรรมการดูแลผู้สูงอายุและนวัตกรรมด้านสุขภาพ ซึ่งจะสร้างทั้งคุณภาพชีวิตที่ดีและมูลค่าทางเศรษฐกิจ พร้อมกันนั้น ไทยยังควรสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อครอบครัว เช่น การสนับสนุนเงินอุดหนุนเด็กเล็ก การจัดบริการดูแลเด็กคุณภาพ และการส่งเสริมทัศนคติที่เห็นคุณค่าของการมีครอบครัว เพื่อลดแรงกดดันต่อผู้ที่ต้องการมีบุตร ขณะเดียวกัน ควรใช้โอกาสจากจำนวนเด็กที่ลดลงในการยกระดับคุณภาพการศึกษาและการลงทุนต่อเด็กแต่ละคนให้มากขึ้น
สุดท้ายนี้ ประเทศไทยสามารถเปิดมิติใหม่ในการพัฒนาประชากรด้วยการจัดการแรงงานข้ามชาติอย่างมีคุณภาพ การดึงดูดแรงงานทักษะสูงจากต่างประเทศ รวมถึงการสร้างแรงจูงใจให้คนไทยที่มีศักยภาพในต่างประเทศกลับมาสร้างคุณค่าให้บ้านเกิด ทั้งหมดนี้หากดำเนินการอย่างบูรณาการ จะช่วยให้สถานการณ์เด็กเกิดน้อยไม่ใช่วิกฤต แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการยกระดับคุณภาพประชากรและพัฒนาเศรษฐกิจสังคมไทยอย่างยั่งยืน
เอกสารอ้างอิง