The Prachakorn

อนาคตไทยยังไม่ไร้เสียงเด็ก เมื่อคนรุ่นใหม่ยังอยากมีลูก


สุภรต์ จรัสสิทธิ์

15 ตุลาคม 2568
17



ท่ามกลางสถานการณ์ที่อัตราการตายของไทยสูงกว่าอัตราการเกิดต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 คนรุ่นใหม่กลับยังไม่ละทิ้งความฝันในการสร้างครอบครัว เกือบ 3 ใน 5 ของเจนวายที่มีคู่ตัดสินใจมีลูก แม้ต้องแลกกับภาระค่าใช้จ่ายที่สูงปี 2568 ศูนย์วิจัยความสุขคนทำงานแห่งประเทศไทย ได้ทำการสำรวจแฮปปีโนมิเตอร์ (HAPPINOMETER) ในด้านสุขภาวะ ความเป็นอยู่ที่ดี และการเพิ่มผลิตภาพขององค์กรแห่งความสุขในประเทศไทย ในคนทำงานกว่า 10,000 คน ใน 17 ประเภทอุตสาหกรรมทั่วประเทศ โดยครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสำรวจคือคนทำงานเจเนอเรชันวาย ขณะที่กลุ่มคนทำงานเจเนอเรชันเอ็กซ์มีร้อยละ 26.9 เจเนอเรชันซีมีร้อยละ 22.3 และกลุ่มเบบี้บูมเมอร์มีเพียงร้อยละ 0.4 ผลการสำรวจสะท้อนภาพประชากรไทยที่สำคัญ ซึ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเผชิญกับสถานการณ์ที่ประชากรกำลังหดตัวเช่นเดียวกับหลายประเทศทั่วโลกที่ ที่น่ากังวลคืออัตราการตายของไทยสูงกว่าอัตราการเกิดติดต่อกันมาเป็นปีที่ 4 แล้ว ผลการสำรวจนี้ไม่ได้เป็นการนำเสนอเพียงตัวเลข แต่เป็นการชวนให้ผู้อ่านเข้าใจวิถีชีวิตของคนเจนวายและเจนซีซึ่งกำลังอยู่ในช่วงสร้างเนื้อสร้างตัวและเริ่มต้นสร้างครอบครัวท่ามกลางสังคมที่เต็มไปด้วยความท้าทายในหลายมิติที่มีผลต่อการตัดสินใจมีบุตรหรือไม่มีบุตร

ครอบครัวคนรุ่นใหม่: ทำงานหนัก-พักผ่อนน้อย-แต่งงานช้า 

คนเจนวายและเจนซีคือกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมาในยุคที่เทคโนโลยีมีบทบาทในวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ทำให้พวกเขาพร้อมเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงและสามารถทำงานในโลกดิจิทัลได้จากทุกที่ สิ่งที่โดดเด่นคือการให้ความสำคัญกับสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว แต่การที่อยู่ในวัยสร้างเนื้อสร้างตัวที่ต้องพิสูจน์ตัวเองในการทำงาน ทำให้มากกว่าครึ่งหนึ่งของคนเจนวายและเจนซีทำงานเกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน ขณะที่คนเจนวายมากกว่า 1 ใน 5 และคนเจนซีร้อยละ 27 ระบุว่ามีเวลาพักผ่อนน้อยหรือไม่เพียงพอ นี่คือวิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่ทุ่มเทการทำงานในสังคมที่มีการแข่งขันกันสูง 

การทุ่มเททำงานและการหาเวลาพักผ่อนของเจเนอเรชันวายและซี

 

ซึ่งข้อมูลจากสำมะโนประชากรปี 2553 ระบุว่าอายุเฉลี่ยเมื่อแรกสมรสของคนไทยอยู่ที่ 28.4 ปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ในขณะที่กำลังรอผลสำมะโนประชากรไทยปีล่าสุด ก็คาดได้ว่าอายุเฉลี่ยแรกสมรสอาจขยับเข้าใกล้ 30 ปี ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญของการสร้างครอบครัวที่ช้าลง อย่างไรก็ตาม ในคู่ที่แต่งงานหรืออยู่ด้วยกันแล้ว หลายคนยังคงเลือกที่จะสร้างครอบครัวพ่อ-แม่-ลูก ผลการสำรวจพบว่าร้อยละ 71.2 ของคนเจนวายที่แต่งงานหรืออยู่กับคู่ตัดสินใจมีบุตร แม้ว่าแนวโน้มจำนวนบุตรเฉลี่ยในคนรุ่นใหม่จะน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อเทียบกับเจเนอเรชันก่อนหน้า 

 

เมื่อตัดสินใจมีลูก แต่ภาระทางการเงินยังเป็นเรื่องท้าทาย

ความท้าทายของพ่อแม่เจนวายและเจนซีคือ “ภาระทางการเงิน” เมื่อพบว่าร้อยละ 31.9 ของพ่อแม่เจนวาย และร้อยละ 25.3 ของพ่อแม่เจนซี ระบุว่าการผ่อนจ่ายค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เป็นภาระหนักมากถึงมากที่สุด ที่น่ากังวลคือมากกว่าครึ่งหนึ่งของพ่อแม่เจนวายและเจนซีไม่มีเงินเก็บในแต่ละเดือน เพราะหากมีความไม่มั่นคงทางการเงินเกิดขึ้นในครอบครัว ขณะที่ค่าครองชีพรวมไปถึงค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรที่สูง อาจทำให้คู่สมรสเจนวายและเจนซีจำนวนไม่น้อยตัดสินใจ “ชะลอ” หรือ “เลื่อน” การมีบุตรออกไป

อย่างไรก็ดี ยังมีครอบครัวรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยที่ตัดสินใจมีบุตร แม้ว่าค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูจะสูง เพราะในอีกด้านหนึ่งการมีบุตรก็ช่วยเติมเต็มความสุข ความอบอุ่น และความรักในครอบครัว บทความวิชาการเรื่อง Motherhood in the Making: Key Determinants of Parenthood Motivation in Young Adult Women ตีพิมพ์ในวารสาร Psychology International ทำการสำรวจในผู้หญิงชาวโครเอเชียช่วงอายุ 20 – 31 ปี จำนวน 234 คน พบว่าแรงจูงใจในการตัดสินใจมีบุตรคือ การเติมเต็มความหมายของชีวิตครอบครัว และเสริมสร้างความมั่นคงของสถาบันครอบครัว สอดคล้องกับผลการสำรวจในประเทศไทยที่จัดทำโดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ร่วมกับบริษัทศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาสังคมและธุรกิจ ทำการสำรวจความคิดเห็นในกลุ่มเจนวาย จำนวน 3,734 คน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่ยังคงให้คุณค่ากับการมีบุตร เพราะลูกช่วยเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ แม่ ลูก ทำให้ชีวิตคู่มีเป้าหมายที่ชัดเจน 

แนวทางจาก 3 ประเทศ สู่อนาคตไทยที่ยังมีเสียงเด็ก

ช่วงปี 2568 ถือเป็นช่วงเวลาที่หลายประเทศได้เดินหน้าปรับมาตรการเพื่อจูงใจให้คนรุ่นใหม่เริ่มต้นครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นเกาหลีใต้ สิงคโปร์ หรือญี่ปุ่น ที่ต่างก็ปรับมาตรการเพื่อลดอุปสรรคที่ทำให้การมีบุตรถูกเลื่อนออกไป เช่น เกาหลีใต้เพิ่งประกาศการเปลี่ยนแปลงมาตรการส่งเสริมการเกิดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ได้แก่ 

  • การเพิ่มวันลาหยุดเพื่อขอรับการรักษาภาวะมีบุตรยากได้ 2 วัน โดยยังได้รับเงินเดือน (จากเดิมขอลาหยุดได้ 1 วัน โดยได้รับเงินเดือน)
  • การขยายระยะเวลาการใช้สิทธิลดชั่วโมงทำงานสำหรับผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ขอลดชั่วโมงทำงานได้วันละ 2 ชั่วโมง ได้ตั้งแต่ช่วง 12 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ หรือสัปดาห์ที่ 32 ของการตั้งครรภ์ (จากเดิมกำหนดที่สัปดาห์ที่ 36 ของการตั้งครรภ์) 
  • การเพิ่มวันลาสำหรับคุณพ่อเพื่อเลี้ยงลูกที่เพิ่งเกิด จากเดิมลางานได้ 10 วันเป็น 20 วัน 
  • การเพิ่มวันลาสำหรับคุณแม่เพื่อเลี้ยงลูกได้ 12 เดือน โดยได้รับเงินชดเชยบางส่วนจากกองทุนประกันการจ้างงาน

ในเดือนเดียวกันนี้ ประเทศสิงคโปร์ก็ได้ขยายสิทธิในโครงการ Baby Bonus เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตร โดยเพิ่มวงเงินของขวัญเบบี้โบนัส (Baby Bonus Cash Gift, BBCG) ให้กับเด็กที่เกิดตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 และขยายสิทธิให้กับลูกคนที่ 3 ของครอบครัวที่นอกจากจะได้รับเงิน BBCG เพิ่มขึ้นแล้ว ยังได้รับเงินเริ่มต้น (First Step Grant) เพิ่มขึ้นในบัญชีออมทรัพย์สำหรับเด็ก (Child Development Account, CDA) เพื่อใช้จ่ายในการศึกษาและสุขภาพ 

ขณะที่ญี่ปุ่นเพิ่งมีการปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการมีบุตรเมื่อเดือนเมษายน 2568 โดยสนับสนุนการทำงานแบบยืดหยุ่น สำหรับพ่อแม่ที่มีลูกอายุไม่เกิน 12 ปี (จากเดิมให้ใช้สิทธิได้หากลูกอายุต่ำกว่า 3 ปี) โดยมีมาตรการให้พนักงานเลือกได้อย่างน้อย 2 มาตรการ ได้แก่ การทำงานทางไกล เวลาทำงานที่ยืดหยุ่น การลดวันทำงาน การยกเว้นการทำงานนอกเวลา การให้บริการสถานเลี้ยงดูเด็ก การให้สิทธิลาพักนานขึ้น 

สำหรับประเทศไทย อนาคตไทยจะยังไม่ไร้เสียงเด็ก หากเรียนรู้มาตรการจากหลายประเทศที่เริ่มดำเนินการไปแล้ว การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีบุตรคือการลงทุนที่สำคัญที่สุด เพื่อให้พ่อแม่เจนวายและเจนซี รวมถึงคู่แต่งงานที่ยังไม่มีบุตร สามารถตัดสินใจเริ่มต้นครอบครัวได้อย่างมั่นใจ


เอกสารอ้างอิง

  • Vučenović, D., Petrović, M., & Jelić, K. (2024). Motherhood in the Making: Key Determinants of Parenthood Motivation in Young Adult Women.  Psychology International, 6(4), 917-936. https://doi.org/10.3390/psycholint6040059
  • สำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. 2561. ภาวะสังคมไทยไตรมาสสาม ปี 2561 บทความพิเศษ คนรุ่นใหม่กับการสร้างประชากรที่มีคุณภาพ. กรุงเทพฯ: สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ.

Tags :

CONTRIBUTOR

Related Posts
Copyright © 2020 สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม 73170
โทรศัพท์ 02-441-0201-4 โทรสาร 02-441-9333
Webmaster: piyawat.saw@mahidol.ac.th