เหตุการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา จากการลักลอบยิงอาวุธฝั่งกัมพูชาเข้ามาล่วงล้ำอธิปไตยของประเทศไทย ส่งผลกระทบต่อประชาชนจังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์ มีประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา มากกว่า 100,000 คน ต้องอพยพไปศูนย์พักพิง 295 แห่ง การละเมิดอธิปไตยดังกล่าวชวนให้เราชาวไทยย้อนอดีตที่น่าจดจำอีกกรณีหนึ่งเมื่อ ปี 2505 ศาลโลกตัดสินให้ปราสาทพระวิหารอยู่ในเขตแดนกัมพูชา มีรายละเอียดดังนี้
ปี 2502 กัมพูชายื่นคำขอต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เพื่อวินิจฉัยเขตแดนไทย-กัมพูชา 2 ประเด็น ว่าด้วยอธิปไตยแห่งดินแดนเหนือปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา และ 2. ให้ไทยถอนกำลังทหารออกจากบริเวณปราสาทพระวิหาร
ปี 2505 กัมพูชาขอให้ศาลโลกวินิจฉัยเพิ่มเติม อีก 3 ประเด็น คือ ขอให้ตัดสินชี้ขาดเขตแดนไทย-กัมพูชา, พิจารณาสถานะของแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 ระวางดงรัก ให้มีผลผูกพันไทย และขอให้รัฐบาลไทยส่งคืน สิ่งประติมากรรม แผ่นศิลา ส่วนสลักหักพังของสิ่งก่อสร้างโบราณสถาน รูปหินทราย และเครื่องปั้นดินเผาโบราณ ซึ่งได้ถูกโยกย้ายไปจากปราสาทพระวิหารโดยเจ้าหน้าที่ไทย นับแต่ ค.ศ.1954 ให้แก่รัฐบาลกัมพูชา
ปี 2540 จัดตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา (Joint Boundary Commission - JBC) เพื่อเป็นกลไกหลักในการเจรจาและการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชา
ปี 2543 เกิด MOU 2543 เป็น บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก กำหนดพื้นฐานทางกฎหมายว่าการเจรจาเขตแดนไทย-กัมพูชา จะใช้เอกสารใดในการเจรจา แต่มิได้หมายความว่า อีกฝ่ายยอมรับว่าเอกสารดังกล่าวผูกพันตนเองแล้วแต่อย่างใด
ปี 2550 กัมพูชายื่นจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียว ทำให้เกิดพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนประมาณ 4.6 ตารางกิโลเมตร เนื่องจากกัมพูชาต้องกำหนดพื้นที่กันชนโดยรอบปราสาท
กระทรวงการต่างประเทศของไทยระบุว่า "กัมพูชาได้อ้างเส้นเขตแดนตามแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 โดยถ่ายทอดเส้นตามที่กัมพูชาเข้าใจเอาเอง และไม่ตรงกับเส้นที่กัมพูชาอ้างในคดีเดิม ปี 2505 ดังนั้นเรื่อง "พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร จึงเป็นปัญหาเขตแดนที่เกิดขึ้นใหม่"
ปี 2551-2554 เกิดเหตุปะทะหลายครั้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมกับความเคลื่อนไหวประเด็นมรดกโลก
ในที่สุด องค์การยูเนสโกประกาศขึ้นทะเบียนตามคำขอของกัมพูชาให้ตัวปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ที่นครควิเบก ประเทศแคนาดา เอกสารของกระทรวงการต่างประเทศระบุว่า ภายหลังจากกัมพูชานำปราสาทพระวิหารไปขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ในเดือน ก.ค. 2551 ได้เกิดความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณปราสาทพระวิหารมาเป็นลำดับ จนในที่สุดได้เกิดการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาหลายครั้ง ได้แก่
ปี 2554 กัมพูชายื่นคำขอให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาในคดีปราสาทพระวิหารที่ศาลโลกได้ตัดสินไปแล้วเมื่อปี 2505
28 เม.ย. 2554 กัมพูชาได้ยื่นคำขอดังกล่าวว่าไทยมีพันธกรณีที่ต้องเคารพบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชา ดินแดนส่วนดังกล่าวถูกกำหนดขอบเขตในบริเวณปราสาทพระวิหารและพื้นที่ใกล้เคียงโดยเส้นที่ปรากฏบนแผนที่ภาคผนวก 1 หรือแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 ที่กัมพูชาใช้แนบคำฟ้องของกัมพูชาในคดีปราสาทพระวิหาร เมื่อปี 2505 ซึ่งฝ่ายไทยมองว่ามีการขีดเส้นเขตแดนล้ำเข้ามาในฝั่งไทย
กัมพูชายังขอให้ศาลโลกออกมาตรการชั่วคราว ได้แก่ ขอให้ไทยถอนกำลังทั้งหมดจากส่วนต่าง ๆ ของดินแดนกัมพูชาในพื้นที่ปราสาทพระวิหารทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข ห้ามไทยมีกิจกรรมทางทหารใด ๆในพื้นที่ปราสาทพระวิหาร เป็นต้น
เอกสารของกระทรวงการต่างประเทศ อธิบายเรื่องการยอมรับเขตอำนาจศาลโลกของประเทศไทยไว้ว่า "ประเทศไทยได้ยอมรับเขตอำนาจศาลฯ ล่วงหน้า โดยผลของการประกาศฝ่ายเดียว ตามข้อ 36 (2) ของธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ โดยหนังสือลงวันที่ 20 พ.ค. 2493 (ยอมรับอำนาจศาลเป็นเวลา 10 ปี)" และ "หลังคดีปราสาทพระวิหารแล้ว ไทยไม่ได้ให้การยอมรับอำนาจของศาลโลกอีก ซึ่งหมายถึงการยอมรับอำนาจในคดีใหม่" (กระทรวงการต่างประเทศระบุตามเอกสารที่เผยแพร่ในเดือน ธ.ค. 2554)
กระทรวงการต่างประเทศ ระบุด้วยว่า "การยื่นคำขอต่อศาลโลกของกัมพูชาในครั้งนี้ (ปี 2554) ไม่ใช่เป็นการฟ้องคดีใหม่ แต่เป็นการตีความคดีเก่าที่ศาลได้ตัดสินไปแล้วเมื่อปี 2505 ซึ่งไทยได้ยอมรับอำนาจศาลแล้ว ในครั้งนั้นจึงเป็นการถ่ายทอดมาจากคดีเดิม ทั้งนี้การยอมรับดังกล่าวครอบคลุมถึงการที่ศาลจะตีความและออกมาตรการชั่วคราวใด ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับคดีหลักนี้ด้วย"
18 ก.ค. 2554 ศาลโลกมีคำสั่งมาตรการชั่วคราว โดยให้ไทยและกัมพูชาถอนทหารออกจากเขตปลอดทหารชั่วคราว (Provisional Demilitarized Zone - PDZ) ที่ศาลฯ กำหนด และงดเว้นการดำเนินกิจกรรมที่ใช้อาวุธไปยังพื้นที่ดังกล่าว และไม่ให้ไทยขัดขวางการเข้าออกปราสาทพระวิหารโดยเสรีของกัมพูชา หรือการส่งเครื่องอุปโภคบริโภคไปยังบุคลากรที่ไม่ใช่ทหารของกัมพูชาที่อยู่ในปราสาทพระวิหาร
ปี 2556 ศาลโลกตัดสินชี้ขาด เดือน พ.ย. 2556 ศาลชี้ขาดเป็นเอกฉันท์โดยอาศัยการตีความคำพิพากษาเมื่อปี 2505 ที่ตัดสินไว้ว่ากัมพูชามีอธิปไตยเหนือดินแดนทั้งหมดของยอดเขาพระวิหาร และพื้นที่บริเวณปราสาทที่ไทยต้องถอนทหารนั้น คือยอดเขาพระวิหาร
เอกสารอ้างอิง:
ย้อนรอยกรณีปราสาทพระวิหารในศาลโลก*
คัดลอกจาก https://www.bbc.com/thai/articles/cy4kw59el3zo สืบค้นเมื่อวันที่ 21 September 2025
