หลายจังหวัดของประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ "สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์" อย่างเป็นทางการแล้ว ผลจากการมีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงทางประชากร ครอบคลุมทั้งมิติทางสังคม เศรษฐกิจ การแพทย์และสาธารณสุข ทั้งในระดับบุคคล ครัวเรือน ชุมชน และงบประมาณของประเทศตลอดจนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) สำหรับการดูแลผู้สูงอายุให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างต่อเนื่อง
อีกทั้งโครงสร้างครอบครัวแบบดั้งเดิมเปลี่ยนแปลงไป จากครอบครัวขยายเป็นสู่ครอบครัวรูปแบบใหม่ที่หลากหลายขึ้น เช่น ครอบครัวเดี่ยว (พ่อแม่ลูก), ครอบครัวคนเดียว, หรือครอบครัวประเภทอื่น ๆ ทำให้ผู้สูงอายุจำนวนมากอยู่คนเดียวหรืออยู่กับคู่สมรสเท่านั้น นอกจากนั้น การขยายตัวของเมืองได้เปลี่ยนพลวัตทางสังคม ส่งผลให้หน่วยงานในพื้นที่อาศัยของผู้สูงอายุโดยเฉพาะ อปท. จำเป็นต้องเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการดูแลผู้สูงอายุมากขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากอปท.เป็นหน่วยงานที่ใกล้ชิดกับประชาชนและสามารถเข้าถึงความต้องการของคนในพื้นที่ได้ดีที่สุด ตลอดจนมีงบประมาณพัฒนาท้องถิ่น ที่สามารถตอบโจทย์และแก้ไขปัญหาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุได้
สถาบันวิจัยประชากรและสังคม ได้ดำเนินโครงการ “การพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุไทยอย่างรอบด้านโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่เทศบาลเมืองกาญจนบุรี และองค์การบริหารส่วนตำบลมหาสวัสดิ์ จังหวัดนครปฐม” โดยนำเครื่องมือประเมินความมีชีวิตชีวา (active aging) ซึ่งประกอบด้วยคำถาม 25 ข้อ แบ่งเป็น 5 ด้าน ได้แก่ ด้านร่างกาย ด้านจิตใจ ด้านสติปัญญาและการเรียนรู้ ด้านสังคม และด้านความมั่นคง พร้อมพัฒนา "ระบบเฝ้าระวังผู้สูงอายุอย่างรอบด้าน" โดยการนำข้อมูลด้านประชากรศาสตร์ของแต่ละพื้นที่มาจัดระบบและพัฒนาแผนภาพการนำเสนอออนไลน์ที่สามารถแสดงข้อมูลสำคัญต่าง ๆ ได้ในภาพเดียว มาใช้เป็นแนวทางในการประเมินคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในทั้งสองพื้นที่ เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนากิจกรรมส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุต่อไป
เทศบาลเมืองกาญจนบุรีได้ดำเนินการประเมินภาวะความมีชีวิตชีวาของผู้สูงอายุ พบข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับสถานการณ์ความเป็นอยู่และความต้องการของผู้สูงอายุในพื้นที่ คือ ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ ร้อยละ 95.5 ยังคงมีส่วนร่วมทางสังคม ในขณะที่ร้อยละ 1.1 เป็นผู้ป่วยติดเตียง และร้อยละ 3.4 เป็นผู้ป่วยติดบ้าน นอกจากนี้ ร้อยละ 8 ของผู้สูงอายุอาศัยอยู่คนเดียว โดยมีความต้องการเร่งด่วน 3 อันดับแรก ได้แก่ สุขภาพกาย รายได้ และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน จากข้อมูลนี้ยังชี้ให้เห็นว่า ผู้สูงอายุที่มีรายได้ไม่เพียงพอหรืออาศัยอยู่คนเดียวมีแนวโน้มที่จะมีระดับความมีชีวิตชีวาต่ำกว่าผู้สูงอายุกลุ่มอื่น
ผลจากการสำรวจความมีชีวิตชีวาของผู้สูงอายุนี้ ช่วยให้กองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม เทศบาลเมืองกาญจนบุรี ได้ริเริ่ม "โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุระยะยาวแบบเชิงรุกในชุมชน" เพื่อกระตุ้นให้ผู้สูงอายุติดบ้านเข้าร่วมกิจกรรมที่ให้ความรู้ด้านสุขภาพ การดูแลตนเอง และเกมเพื่อป้องกันภาวะสมองเสื่อม ในขณะเดียวกัน ฝ่ายพัฒนาชุมชนได้จัดทำ "โครงการชวนบอกเล่ากิจกรรมจิตอาสาผู้สูงวัย" เพื่อตอบสนองต่อผู้สูงอายุจำนวนมากที่ไม่ได้เข้าร่วมชมรมผู้สูงอายุหรือกิจกรรมของชุมชน (ร้อยละ73 และร้อยละ 55 ตามลำดับ) โครงการนี้ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุที่มีความพร้อมมารวมกลุ่มทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม เช่น การประดิษฐ์ "คุณช้างจับมือ" และ "หมอนอเนกประสงค์" (รูปที่1) เพื่อส่งต่อให้กับผู้ป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาต ได้ใช้บริหารมือ และผู้ป่วยติดเตียง เพื่อป้องกันแผลกดทับ ผู้เข้าร่วมกิจกรรมเหล่านี้ถูกเรียกว่า "อาสาสมัคร" หรือ "จิตอาสา" นอกจากนี้ ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ยังได้ดำเนิน "โครงการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ" โดยการลงพื้นที่แบบมุ่งเป้าเพื่อเยี่ยมบ้านผู้สูงอายุที่ด้อยโอกาส หรือประสบปัญหาสุขภาพและสังคม
รูปที่ 1 “คุณช้างจับมือ” และ “หมอนเอนกประสงค์” ที่ผู้สูงอายุร่วมกันประดิษฐ์
รูปโดย วิภาพร จารุเรืองไพศาล
องค์การบริหารส่วนตำบลมหาสวัสดิ์ ได้ใช้เครื่องมือประเมินภาวะความมีชีวิตชีวาของผู้สูงอายุเช่นเดียวกัน พบว่า ร้อยละ 1.5 เป็นผู้ป่วยติดเตียง, ร้อยละ 2.6 ติดบ้าน, และร้อยละ 95.9 ติดสังคม ความต้องการ 3 ลำดับแรกยังคงเป็น สุขภาพกาย รายได้ และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เช่นเดียวกับเทศบาลกาญจนบุรี แต่มีประเด็นที่น่าสนใจคือ มีผู้สูงอายุถึงร้อยละ 69 ไม่ได้เข้าร่วมกลุ่มหรือชมรมต่าง ๆ และร้อยละ 54 มีรายได้เพียงพอเป็นบางครั้งหรือไม่เพียงพอเลย นอกจากนี้ ยังพบว่ามีผู้สูงอายุที่มีระดับความมีชีวิตชีวาด้านจิตใจอยู่ในระดับน้อย ร้อยละ 5 สอดคล้องกับระดับความสุข ที่มีในระดับน้อย ร้อยละ 4 อีกทั้งยังพบว่า ร้อยละ 13 รู้สึกหดหู่ เศร้า หรือท้อแท้สิ้นหวัง ร้อยละ 16 รู้สึกเบื่อ ทำอะไรก็ไม่เพลิดเพลิน
เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ กองสวัสดิการสังคม อบต.มหาสวัสดิ์ ได้เสนอ "โครงการสร้างรายได้ ลดรายจ่าย เพิ่มการดูแลสุขภาพเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุอย่างรอบด้าน" โดยเปลี่ยนรูปแบบจากการจัดกิจกรรมที่มีการจัดรถรับส่ง เป็นการจัดกิจกรรมที่เน้นพื้นที่ที่มีความหนาแน่นของประชากรและสะดวกในการเดินทาง โดยไม่มีการจัดรถรับส่ง การปรับเปลี่ยนนี้มีจุดประสงค์เพื่อดึงดูดผู้สูงอายุที่ไม่เคยเข้าร่วมกิจกรรมให้เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น กิจกรรมที่จัดขึ้นเน้นการฝึกอาชีพเสริมหรือลดรายจ่ายในครัวเรือน เช่น การทำจุลินทรีย์น้ำข้าว การปลูกพืชไร้ดิน การทำไม้กวาดทางมะพร้าว หรือน้ำพริก
นอกจากนี้ อบต.มหาสวัสดิ์ยังได้ส่งข้อมูลการประเมินให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลมหาสวัสดิ์ เพื่อดำเนินการติดตามผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงด้านสุขภาพจิต รพ.สต.มหาสวัสดิ์ จึงได้จัดทำ "โครงการสร้างพลังผู้สูงวัย ดูแลกายใจให้แข็งแรง" เพื่อเปิดโอกาส ให้ผู้สูงอายุมีกิจกรรมด้านการสร้างเสริมสุขภาพ มีความรู้ความเข้าใจในการดูแลสุขภาพ มีส่วนร่วมในการสร้างสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมเพื่อการออกกำลังกาย เกิดความภาคภูมิใจ มีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น และมีส่วนร่วม ในกิจกรรมจิตอาสา การบำเพ็ญสาธารณประโยชน์
ทั้งเทศบาลเมืองกาญจนบุรีและ อบต.มหาสวัสดิ์ ได้นำ “เครื่องมือประเมินความมีชีวิตชีวาของผู้สูงอายุ” และ "ระบบเฝ้าระวังผู้สูงอายุอย่างรอบด้าน" มาใช้เป็นกลไกสำคัญในการรวบรวมข้อมูลและวางแผนโครงการ ซึ่งสอดคล้องกับความจำเป็นในสถานการณ์สังคมสูงวัยที่ต้องการการบริหารจัดการที่ใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์ อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานด้านผู้สูงอายุบนฐานของข้อมูลที่สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่ เผชิญกับความท้าทายในการดำเนินงานผ่านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี เช่นเดียวกันในทั้งสองพื้นที่ ตัวอย่างเช่น ปัญหาอุปสรรคของผู้สูงอายุที่เป็นอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) ในการใช้เทคโนโลยีสมาร์ทโฟนสำหรับบันทึกข้อมูลและพิกัด GPS ซึ่งทำให้ต้องกลับไปใช้แบบฟอร์มกระดาษและต้องมีการตรวจสอบข้อมูลซ้ำ ปัญหานี้สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการเร่งด่วนในการพัฒนาความรู้ด้านดิจิทัลและการปรับปรุงเทคโนโลยีให้เข้ากับผู้สูงอายุในโครงการสาธารณสุข
บทเรียนสำคัญจากการทำงานในพื้นที่ต้นแบบเหล่านี้ คือการสร้าง "นักวิจัยชุมชน" ในหน่วยงาน อปท. ซึ่งช่วยเสริมศักยภาพให้บุคลากรในพื้นที่สามารถเข้าใจและแก้ไขปัญหาสังคมสูงวัยได้อย่างตรงจุด พร้อมส่งเสริมการเชื่อมโยงข้อมูลเชิงประชากรที่ทันสมัยจากแหล่งต่าง ๆ เช่น สำนักบริหารการทะเบียน และข้อมูลพิกัดบ้านของ อสม. และผู้สูงอายุกลุ่มเปราะบาง เข้าด้วยกัน เพื่อให้ อปท. สามารถวางแผนโครงการและการดูแลได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
กรณีศึกษาจากประสบการณ์ของเทศบาลเมืองกาญจนบุรี และ อบต.มหาสวัสดิ์ ตอกย้ำถึงความจำเป็นที่ อปท. จะต้องเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนและพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในสังคมสูงวัย การใช้เครื่องมือประเมินที่ครอบคลุม การพัฒนาระบบเฝ้าระวังในพื้นที่ และการสร้างนักวิจัยชุมชน เป็นแนวทางที่สำคัญในการตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลายของผู้สูงอายุ ตั้งแต่สุขภาพกาย รายได้ ไปจนถึงการมีส่วนร่วมทางสังคมและสุขภาพจิต การบูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วน และการปรับรูปแบบกิจกรรมให้เหมาะสมกับบริบทและความต้องการของแต่ละพื้นที่ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุไทยอย่างรอบด้านและยั่งยืนในอนาคต
อ้างอิง