The Prachakorn

เตรียมสำหรับตายให้ดีที่สุดได้อย่างไร: อยู่ให้ดีที่สุดด้วยการเตรียมพร้อมที่จะตาย


จงจิตต์ ฤทธิรงค์

10 พฤศจิกายน 2568
5



เตรียมสำหรับตายให้ดีที่สุดได้อย่างไร
ตอบ: “อยู่ให้ดีที่สุด”
เตรียมสำหรับอยู่ให้ดีที่สุดอย่างไร
ตอบ: “เตรียมพร้อมสำหรับที่จะตายนะซี”
พุทธทาส อินทปัญโญ จากหนังสือ Last Conversations บทสนทนาสุดท้าย1

บทความขึ้นต้นด้วยปริศนาธรรม แต่ไม่ได้จำกัดผู้อ่านที่เป็นพุทธศาสนิกชนเท่านั้น เพราะความตายเป็นสากล ที่ใครๆ ก็อยากตายดี (มากกว่าตายอย่างทรมาน) ความตายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครหนีพ้น แต่เราทุกคนสามารถ “เตรียมรับ” มันได้อย่างสงบและมีศักดิ์ศรี การเตรียมพร้อมที่จะตาย ไม่ได้หมายถึงการยอมแพ้ต่อชีวิต หากแต่เป็นการตระหนักถึงคุณค่าของการ “อยู่” อย่างมีความหมายในทุกวัน บทความนี้จะเล่าถึงสิทธิที่ทุกคนพึงมีตามกฎหมาย เพื่อการวางแผนรับการรักษาขั้นสุดท้าย ก่อนออกเดินทางไกล

สิทธิที่จะขอตายตามธรรมชาติ

“บุคคลมีสิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงคจะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตตน หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยได้2” ข้อความดังกล่าวเป็นสาระสำคัญของมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ซึ่งรับรองสิทธิของประชาชนในการแสดงเจตนาไม่รับการรักษาที่มีเพียงเป้าหมายเพื่อ “ยืดการตาย” โดยไม่สามารถเร่งการตายได้3 การใช้สิทธินี้เรียกกันทั่วไปว่า “สิทธิที่จะขอตายตามธรรมชาติ” หรือ “สิทธิการตายดี” ซึ่งเป็นแนวคิดที่เน้นการจากไปอย่างสงบ โดยไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ยืดชีวิตออกไปอย่างไร้คุณภาพ

บุคคลสามารถแสดงเจตนาไว้ล่วงหน้าได้ว่า เมื่อถึงวาระสุดท้ายของชีวิตและจะต้องจากไป ขอจากไปตามวิถีธรรมชาติโดยไม่ประสงค์จะให้ใช้เครื่องมือต่างๆ จากเทคโนโลยีสมัยใหม่มาพันธนาการร่างไว้เพื่อยืดความตายออกไป การทำหนังสือแสดงเจตนานี้ช่วยให้แพทย์และครอบครัวเข้าใจความประสงค์ของผู้ป่วยอย่างชัดเจน ลดความสับสนและความทุกข์ใจในยามวิกฤต

ดังนั้น ผู้ที่จะได้สิทธินี้คือ ผู้ป่วยระยะสุดท้าย หรือ ผู้ป่วยระยะท้าย หมายถึง “ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยแล้วว่าสภาพการป่วยไข้ในระยะลุกลาม เรื้อรัง หรือเข้าสู่ระยะท้ายๆ ของโรค ซึ่งไม่มีวันรักษาให้หายได้ โดยมากจะมีชีวิตอยู่น้อยกว่า 1 ปี”4 กลุ่มนี้เป็นผู้ที่เหมาะสมในการเข้ารับการดูแลแบบประคับประคอง (palliative care) เพื่อให้ได้รับการดูแลด้านร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณอย่างสมดุลในช่วงสุดท้ายของชีวิต

การดูแลแบบประคับประคองเพื่อการจากไปอย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

ผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เช่น โรคมะเร็งระยะลุกลาม โรคหัวใจล้มเหลวเรื้อรัง โรคไตวายเรื้อรัง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) โรคสมองเสื่อมระยะสุดท้าย ผู้ป่วยกลุ่มนี้ต้องการการดูแลแบบประคับประคอง (palliative care) ซึ่งหมายถึง “การดูแลทางการแพทย์การพยาบาลทุกชนิด รวมถึงการดูแลทางด้านจิตใจ สังคม ตามความต้องการของผู้ป่วย ตลอดจนการดูแลครอบครัวผู้ป่วยจากความโศกเศร้า เนื่องจากต้องสูญเสียผู้ป่วยไป4” เพื่อให้ทั้งผู้ป่วยและญาติสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีทั้งกายและจิตใจในช่วงท้ายของชีวิต จนกระทั่งผู้ป่วยจากไปอย่างสงบ สมศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์

การดูแลแบบประคับประคอง: ทางเลือกที่คุ้มค่าและมีคุณภาพในวาระสุดท้าย

การดูแลผู้ป่วยระยะท้ายของชีวิตมักเกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่ายสูง เช่น การรักษาในโรงพยาบาล การดูแลผู้ป่วยหนัก หรือการรักษาเฉพาะทางอย่างการฟอกไตและเคมีบำบัด อย่างไรก็ตาม งานวิจัยในประเทศไทยชี้ว่า “การดูแลแบบประคับประคอง” (palliative care) โดยเฉพาะการดูแลที่บ้านหรือในชุมชน ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของระบบสุขภาพ พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัวได้อย่างมีนัยสำคัญ

ผลการศึกษาค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพจากการใช้สิทธิตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 พบว่า ผู้ป่วยระยะท้ายที่เลือกดูแลที่บ้านมีต้นทุนเฉลี่ยเพียง 5,064.47 บาทต่อราย ต่ำกว่าการดูแลในโรงพยาบาลที่มีต้นทุนเฉลี่ย 6,032.68 บาท ขณะเดียวกัน ญาติของผู้ป่วยมีความพึงพอใจต่อการดูแลที่บ้านสูงกว่าโรงพยาบาล (คะแนนเฉลี่ย 147.0 เทียบกับ 139.5) หากมีการขยายบริการนี้ให้ครอบคลุมผู้ป่วยระยะท้าย 307,055 รายทั่วประเทศ จะช่วยให้รัฐลดค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 297.29 ล้านบาทต่อปี5 

รูป 1 การดูแลผู้ป่วยระยะท้ายของชีวิต: การดูแลที่บ้านเทียบกับการดูแลในโรงพยาบาล
ภาพ: ออกแบบโดยผู้เขียน

งานวิจัยยังพบความแตกต่างของบริบทการดูแลระหว่างพื้นที่เมืองและชนบท โดยผู้ป่วยในเมืองมักเลือกเสียชีวิตในโรงพยาบาลเนื่องจากข้อจำกัดด้านผู้ดูแล ขณะที่ผู้ป่วยในชนบทมากกว่าร้อยละ 80 ต้องการเสียชีวิตที่บ้าน สะท้อนความสำคัญของระบบดูแลแบบประคับประคองในชุมชนซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของผู้ป่วยและครอบครัวได้ดีกว่า5

หลักฐานจากต่างประเทศสนับสนุนผลลัพธ์การดูแลแบบประคับประคอง

กรณีศึกษาประเทศเบลเยียม พบว่าค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของบ้านพักผู้สูงอายุในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายอยู่ที่ 3,243 ยูโรต่อคน ในขณะที่การรักษาในโรงพยาบาลมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า (3,822 ยูโร) และการดูแลแบบประคับประคองอยู่ที่เพียง 2,456 ยูโร แสดงให้เห็นว่าการรักษาในโรงพยาบาลมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการดูแลแบบประคับประคองถึงร้อยละ 55.66

ในประเทศเนเธอร์แลนด์ การรักษาผู้ป่วยมะเร็งไขกระดูก (Multiple Myeloma) ในโรงพยาบาลมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 8,367 ยูโร ขณะที่การดูแลแบบประคับประคองมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าถึงร้อยละ 54.57

โดยสรุป การดูแลแบบประคับประคองไม่เพียงเป็นทางเลือกที่ “คุ้มค่า” ในเชิงเศรษฐศาสตร์ แต่ยังช่วยให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตอย่างสงบและมีศักดิ์ศรีในวาระสุดท้ายของชีวิต เป็นแนวทางสำคัญสู่ระบบสุขภาพที่เคารพคุณค่าความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง

เรียนรู้การดูแลแบบประคับประคองที่สถานชีวาภิบาลวัดคำประมง จังหวัดสกลนคร

ผู้ป่วยที่อโรคยศาล วัดคำประมง จังหวัดสกลนคร ส่วนมากเป็นมะเร็งระยะท้าย หลายคนมาในช่วงท้ายที่คุณหมอบอกเหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่เดือน หรือ ร่างกายไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยการแพทย์สมัยใหม่แล้ว แต่กลับมีชีวิตยืนยาวต่อไปได้อีกหลายปีอย่างมีความสุข บางคนบอกว่าเป็น “โรงพยาบาลที่มีความสุขที่สุดในโลก” ญาติผู้ป่วยหรือแม้กระทั่งตัวผู้ป่วยเองเล่าเรื่องราวอาการป่วย ด้วยใบหน้าผ่องใสเบิกบาน พูดไปยิ้มไป มีมุกตลก จนอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า วัดนี้ทำได้อย่างไร ทำให้ผู้ป่วยและญาติมีความสุขได้ขนาดนี้ ผู้ป่วยที่นี่จะได้รับยาสมุนไพร ทำกิจกรรมและพูดคุยแลกเปลี่ยนระหว่างญาติ ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว จากทุกข์ก็กลายเป็นสุขด้วยการน้อมรับธรรมะ ทำให้ผู้ป่วยและญาติยอมรับและเข้าใจชีวิต จนสามารถพลิกวิกฤต เป็นความโชคดีตามชื่อหนังสือที่วัดเผยแพร่ “โชคดีที่เป็นมะเร็ง” เพราะหากไม่ได้อยู่ในภาวะนี้ ก็คงไม่สามารถเข้าใจชีวิตได้อย่างท่องแท้

รูป 2 สถานที่ชีวาภิบาล วัดคำประมง จังหวัดสกลนคร
ภาพโดย: ผู้เขียน

การลงพื้นที่ศึกษาที่อโรคยศาล วัดคำประมงนี้ จึงทำให้เห็น “พลังของการดูแลแบบองค์รวม” ที่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงด้านการรักษาทางกาย แต่รวมถึงการเยียวยาด้านจิตใจ สังคม และจิตวิญญาณของผู้ป่วยและครอบครัว 

การดูแลแบบประคับประคองเน้นคุณภาพชีวิตมากกว่าการยืดชีวิต-ผู้ป่วยจำนวนมากไม่ได้ต้องการอยู่ต่ออย่างทุกข์ทรมาน หากแต่ต้องการใช้เวลาที่เหลืออย่างมีความหมาย การดูแลที่วัดคำประมงจึงเน้นให้ผู้ป่วยอยู่ร่วมกับโรคอย่างสงบ ไม่เร่งการตาย และไม่ยื้อความตายด้วยเทคโนโลยีที่เกินจำเป็น

ธรรมะและจิตวิญญาณคือหัวใจของการเยียวยา-การสวดมนต์ ทำสมาธิ และการสนทนาธรรมช่วยให้ผู้ป่วยและญาติยอมรับความจริงของชีวิต เข้าใจความไม่เที่ยง และเปลี่ยนความกลัวให้กลายเป็นความสงบ การเยียวยาเช่นนี้ช่วยให้ผู้ป่วยมีความสุขแม้อยู่ในช่วงสุดท้ายของชีวิต  

บทบาทของผู้ดูแลและชุมชนมีความสำคัญไม่แพ้แพทย์-ที่วัดคำประมง จิตอาสา ญาติ และเพื่อนผู้ป่วยต่างมีส่วนร่วมในการดูแล ช่วยกันสร้างบรรยากาศของความอบอุ่นและกำลังใจ ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่โดดเดี่ยว  

การดูแลด้วยหัวใจเมตตาช่วยสร้างพลังบวกอย่างมหาศาล-ความเมตตาของหลวงตาและทีมผู้ดูแลคือแรงบันดาลใจสำคัญ ทำให้เห็นว่าการรักษาที่แท้จริงไม่ได้อยู่แค่ในห้องแพทย์ แต่อยู่ในความรัก ความเข้าใจ และศรัทธาที่มอบให้กัน 

การดูแลระยะท้ายควรเปิดพื้นที่ให้ผู้ป่วยมีสิทธิตามมาตรา 12-ผู้ป่วยควรได้เลือกแนวทางการดูแลที่สอดคล้องกับความปรารถนาของตนเอง เช่น การขอตายตามธรรมชาติ และควรมีการพูดคุยวางแผนล่วงหน้ากับครอบครัว เพื่อให้ทุกฝ่ายเข้าใจร่วมกัน  

ประสบการณ์ครั้งนี้ทำให้ตระหนักว่า “การดูแลแบบประคับประคองไม่ใช่เพียงเรื่องของการแพทย์ แต่คือการดูแลชีวิตในความเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์” การผสมผสานความรู้ทางสุขภาพ จิตวิญญาณ และความเมตตา คือหัวใจของการตายดีที่สงบและมีศักดิ์ศรี

ทำอย่างไรจึงจะได้สิทธิตามมาตรา 12 และการเตรียมใจเพื่อการตายดี

การทำความเข้าใจสิทธิตามมาตรา 12 และการเตรียมตัวล่วงหน้า เช่น การพูดคุยกับครอบครัว การจัดทำ “สมุดเบาใจ” หรือจะดำเนินการผ่าน e-Living Will8 เพื่อบันทึกความปรารถนาเกี่ยวกับการดูแลในวาระสุดท้าย เป็นก้าวสำคัญสู่ “การตายดี” ที่มีศักดิ์ศรีและความสงบตามธรรมชาติ

พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 มาตรา 12 เปิดโอกาสให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิ “แสดงเจตนาไม่ประสงค์ให้แพทย์ดำเนินการยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต” หรือที่เรียกว่า “สิทธิการตายดี” (living will) การใช้สิทธินี้ไม่เพียงเป็นเรื่องของกฎหมาย แต่ยังเป็นการวางแผนชีวิตล่วงหน้า เพื่อให้การดูแลในช่วงสุดท้ายสอดคล้องกับคุณค่าชีวิตและความต้องการของผู้ป่วยเอง

ขั้นตอนสำคัญในการใช้สิทธิตามมาตรา 12

  1. ทำความเข้าใจสิทธิของตนเอง
    ประชาชนสามารถศึกษาข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) หรือโรงพยาบาลที่มีระบบการดูแลแบบประคับประคอง เพื่อเข้าใจสิทธิและแบบฟอร์มการแสดงเจตนา3
  2. พูดคุยและวางแผนร่วมกับครอบครัว
    การพูดคุยล่วงหน้าเป็นขั้นตอนสำคัญ เพื่อให้สมาชิกในครอบครัวเข้าใจเจตนารมณ์ของผู้ป่วย และสามารถสื่อสารแทนกับทีมแพทย์ได้เมื่อถึงเวลา การสื่อสารนี้ช่วยลดความสับสนและความรู้สึกผิดของญาติในภายหลัง
  3. บันทึกเจตนาใน “สมุดเบาใจ” หรือ e-Living Will8 
    สมุดเบาใจหรือ e-Living Will เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ป่วยและครอบครัวบันทึกความต้องการ เช่น ต้องการรับหรือไม่รับการรักษาใด การใช้เวลาในช่วงสุดท้ายกับใคร หรือแม้แต่เพลงหรือกิจกรรมที่ทำให้รู้สึกสงบ สมุดนี้ช่วยให้ทีมแพทย์และครอบครัวเข้าใจและเคารพความปรารถนาของผู้ป่วยอย่างแท้จริง
  4. แจ้งโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลที่รับการรักษา
    เมื่อมีการจัดทำเอกสารแสดงเจตนาตามมาตรา 12 แล้ว ควรแจ้งให้โรงพยาบาลทราบ เพื่อบันทึกไว้ในเวชระเบียนและใช้เป็นแนวทางในการดูแลผู้ป่วยในอนาคต

การใช้สิทธิตามมาตรา 12 ไม่ได้หมายถึง “การยุติการรักษา” แต่เป็นการเลือก “วิธีการดูแล” ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิต ความสงบทางใจ และการใช้เวลาร่วมกันอย่างมีคุณค่าระหว่างผู้ป่วยและครอบครัว เป็นอีกก้าวหนึ่งของสังคมไทยสู่ “การตายดี” ที่เต็มไปด้วยศักดิ์ศรีและความรัก


อ้างอิง

  1. นิษฐา เอื้ออารีมิตร. Last Conversations บทสนทนาสุดท้าย. กรุงเทพฯ: สเปซบุ๊ค; 2558.
  2. ราชกิจจานุเบกษา. พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ. ราชกิจจานุเบกษา; 2550.
  3. นิรชา อัศวธีรากุล, อโนมา สอนบาลี, ภัคคพงศ์ วงศ์คำ. รู้ให้รอบ ตอบเรื่องมาตรา 12 พ.ร.บ. สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550. นนทบุรี: สํานักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.); 2559.
  4. พรวี ยอดมงคล. การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง (Palliative Care). นนทบุรี: สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.); 2556.
  5. มูลนิธิศูนย์วิจัยและติดตามความเป็นธรรมทางสุขภาพ. การศึกษาค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพและผลลัพธ์ด้านสุขภาพในระยะสุดท้ายของชีวิตจากการใช้สิทธิการแสดงเจตนาตามมาตรา 12 พรบ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550: มูลนิธิศูนย์วิจัยและติดตามความเป็นธรรมทางสุขภาพ สนับสนุนโดย สํานักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.), 2568.
  6. Simoens S, Kutten B, Keirse E, et al. Terminal patients in Belgian nursing homes: a cost analysis. The European Journal of Health Economics 2013; 14(3): 407-13.
  7. Bennink C, Westgeest H, Schoonen D, et al. High Hospital-related Costs at the End-of-life in Patients With Multiple Myeloma: A Single-center Study. HemaSphere 2023; 7(6).
  8. สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ. e-Living Will 2023 (accessed 26 ตุลาคม 2025).

 


Tags :

CONTRIBUTOR

Related Posts
Copyright © 2020 สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม 73170
โทรศัพท์ 02-441-0201-4 โทรสาร 02-441-9333
Webmaster: piyawat.saw@mahidol.ac.th