“บนเส้นทางสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด” ในตอนที่แล้ว ผมเขียนเรื่อง “เป็นไง มาไง...จึงมาเป็นผู้สูงอายุ” ในตอนนี้ ผมขอตั้งชื่อให้ต่อเนื่องจากตอนที่แล้วว่า “เป็นผู้สูงอายุ...แล้วไง”
คำว่า “สูงอายุ” ปรากฏครั้งแรกใน พ.ร.บ.บำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 ที่กำหนดให้ “สูงอายุ” เป็นเหตุหนึ่งในสี่เหตุที่ข้าราชการมีสิทธิรับบำเหน็จบำนาญ เหตุทั้งสี่ ได้แก่ (1) เหตุทดแทน (2) เหตุทุพพลภาพ (3) เหตุสูงอายุ และ (4) เหตุรับราชการนาน
ส่วนคำว่า “ผู้สูงอายุ” ใช้กันเป็นครั้งแรกโดยคณะอนุกรรมการการศึกษา วิจัย และวางแผนระยะยาวเกี่ยวกับผู้สูงอายุ ที่มีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เป็นฝ่ายเลขานุการ คณะอนุกรรมการฯ ชุดนี้ได้ประกาศ “แผนระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุแห่งชาติ พ.ศ. 2525-2544”
ในภาษาไทยมีคำที่ใช้เรียกคนที่มีอายุมากๆ อยู่หลายคำ เช่น คนแก่ ผู้เฒ่า คนชรา คำว่า “คนชรา” เป็นศัพท์ทางการที่ใช้เรียก “ผู้สูงอายุ” มาแต่เดิม ในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี มีการก่อตั้ง “สถานสงเคราะห์คนชราบ้านบางแค” เมื่อปี 2496 สมัยก่อนคนไทยเรียกคนอายุมากๆ ว่าเป็นคนแก่ คนเฒ่า ตาแก่ ยายแก่ พอมีคำว่า แก่ ชรา ก็มีเสียงวิจารณ์ว่าคำเหล่านี้สื่อความหมายไปในทางลบ แสดงถึงความเสื่อมของร่างกาย เหมือนกับคำภาษาอังกฤษ old, old person เป็นคำที่มี “วยาคติ” (ageism) คือ มีอคติหรือทัศนคติในทางลบต่อผู้มีอายุมากๆ โดยมองว่าเป็นคนแก่ที่มีร่างกายเสื่อมโทรมลง สหประชาชาติจึงพร้อมใจกันใช้คำภาษาอังกฤษว่า “older person” ซึ่งตรงกับคำว่า “ผู้สูงอายุ” ในภาษาไทย คำนี้มีความหมายเป็นกลางๆ ว่าผู้มีอายุมากกว่า (คนอื่น) โดยไม่พาดพิงถึงสภาพร่างกายว่าจะแก่ชราอย่างไร
ในภาษาไทยยังมีคำว่า “ผู้สูงวัย” อีกคำหนึ่งซึ่งมีความหมายอย่างเดียวกันกับคำว่า “ผู้สูงอายุ” “ผู้สูงวัย” ใช้อักษรย่ออย่างไม่เป็นทางการว่า “ส.ว.” ซึ่งตรงกับ ส.ว. ที่ย่อมาจาก “สมาชิกวุฒิสภา” จึงล้อกันเล่นๆ เรียกผู้สูงอายุว่าเป็น ส.ว. หรือผู้สูงวัย ส.ว. ต้องมีอายุตั้งแต่ 40 ปี ขึ้นไป เมื่อเรียกผู้สูงอายุว่าเป็น ส.ว. ก็ฟังดูสนุกดี
เมื่อปี 2556 - 2566 ผมเป็นบรรณาธิการ “รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทยประจำปี” เรามีคำอธิบาย “ความหมายของศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับคำว่าสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย” ไว้ในหน้าแรกของรายงานในส่วนที่เกี่ยวกับคำว่า “ผู้สูงอายุ” กับ “ผู้สูงวัย” ดังนี้
คำว่า “ผู้สูงอายุ” กับ “ผู้สูงวัย” มีความหมายคล้ายกัน
“นายแพทย์บรรลุ ศิริพานิช ผู้ก่อตั้งมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย ได้อ้างถึงงานเขียนของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ในหนังสือเรื่อง “สูงอายุเป็น ก็น่าเป็นผู้สูงอายุ” ที่กล่าวว่า “อายุ” เป็นภาษาบาลี หมายถึง “พลังหล่อเลี้ยงชีวิต” และ “วัย” หมายถึง “ความเสื่อม ความโทรม” จึงเสนอให้ใช้คำว่า “ผู้สูงอายุ” เพื่อหมายถึง “บุคคลที่สูงด้วยพลังสืบต่อหล่อเลี้ยงชีวิต” ไม่ใช้คำว่า “ผู้สูงวัย” เพราะมีความหมายสื่อไปในทางลบว่าเป็นบุคคลที่สูงด้วยความเสื่อมโทรม”
ในรายงานฯ ประจำปี 2565 ผมได้เพิ่มเติมข้อความว่า “ผู้สูงอายุ” ในความหมายของสหประชาชาติไว้ดังนี้
“ปัจจุบัน สหประชาชาติ (United Nations) ใช้อายุ 65 ปีขึ้นไป ในการนำเสนอสถิติข้อมูลและตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างอายุของประชากร โดยแบ่งประชากรออกเป็น 3 กลุ่มอายุ คือ อายุต่ำกว่า 15 ปี (เด็ก) อายุ 15-64 ปี (คนวัยทำงาน) และอายุ 65 ปีขึ้นไป (ผู้สูงอายุ)”
ถ้าเราใช้เกณฑ์เรียกผู้สูงอายุเช่นเดียวกับสหประชาชาติคือ หมายถึงคนที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป เราอาจแบ่งผู้สูงอายุออกเป็นกลุ่มอายุ 3 กลุ่มใหญ่ คือ
“ผู้สูงอายุวัยต้น” (The young old) หมายถึง ผู้มีอายุ 65-74 ปี
“ผู้สูงอายุวัยกลาง” (The middle old) หมายถึง ผู้มีอายุ 75-84 ปี
“ผู้สูงอายุวัยปลาย” (The oldest old) หมายถึง ผู้มีอายุ 85 ปีขึ้นไป
แถมด้วย “ศตวรรษนิกชน” (centenarian) หมายถึง ผู้สูงอายุวัยปลายสุดที่มีอายุ 100 ปีขึ้นไป และ “อภิศตวรรษิกชน” (super-centenarian) หมายถึง ผู้มีอายุ 110 ปีขึ้นไป
ผมเคยข้องใจเกี่ยวกับความหมายของคำว่า “ผู้สูงอายุ” จึงได้ไปค้นหาความหมายของคำนี้ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ซึ่งเป็นฉบับล่าสุด ไม่น่าเชื่อว่าคำว่า “ผู้สูงอายุ” ซึ่งเป็นศัพท์ที่ใช้กันอย่างกว้างขวางในปัจจุบันจะไม่ได้เก็บคำนี้ไว้ในพจนานุกรมฯ ของประเทศไทย
ผู้ น. คำใช้แทนบุคคล ... หรือใช้แทนคำว่า คน ... ภายใต้คำนี้จะมีคำว่า ผู้ เป็นลูกคำอีกมากถึงเกือบร้อยคำ เช่น ผู้กว้างขวาง ผู้ก่อการร้าย ผู้ให้กำเนิด ผู้อนุบาล แต่ไม่มีคำว่า “ผู้สูงอายุ”
เมื่อผิดหวังจากการไม่พบคำว่า “ผู้สูงอายุ” ผมจึงไปเปิดดูคำว่า “วัย”
วัย น. เขตอายุ, ระยะของอายุ พบลูกคำของ วัย อีก 20 คำ เช่น วัยกลางคน วัยกำดัด วัยหมดระดู วัยที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับผู้สูงอายุคือ วัยชรา น. วัยที่ต่อจากวัยกลางคน อายุเกิน 60 ปี และวัยกลางคน น. วัยที่มีอายุพ้นวัยหนุ่มสาว แต่ยังไม่แก่ อายุประมาณ 30-50 ปี
ผมจึงได้ทำเรื่องเสนอนายกราชบัณฑิตยสภา ในฐานะประธานคณะกรรมการชำระพจนานุกรม
(1) ให้บรรจุคำว่า “ผู้สูงอายุ น. ผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป”
(2) ให้ปรับนิยามคำว่า “วัยชรา” จากเดิม “วัยที่ต่อจากวัยกลางคน อายุเกิน 60 ปี” เป็น “วัยที่ต่อจากวัยกลางคน อายุเกิน 65 ปี”
(3) ปรับนิยามคำว่า “วัยกลางคน” จากเดิม “วัยที่มีอายุพ้นวัยหนุ่มสาว แต่ยังไม่แก่ อายุประมาณ 30-50 ปี” เป็น “วัยที่มีอายุพ้นวัยหนุ่มสาว แต่ยังไม่แก่ อายุประมาณ 40-60 ปี”
ดังนั้นคำว่า “ผู้สูงอายุ” ซึ่งหมายถึงคนที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป จึงจะปรากฏอยู่ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ซึ่งจะพิมพ์เนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปี ของราชบัณฑิตยสภา ใน พ.ศ. 2569 นี้
คนไทยจะแก่ช้าลง ต่อไปนี้อายุ 60 ปี ยังไม่เรียกว่าเป็นผู้สูงอายุนะครับ
ตอนต่อไปผมจะคุยเรื่องสังคมสูงวัยครับ
