ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อนจากวิกฤต “เกิดน้อยและสังคมสูงวัย” โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่าอัตราการเกิดโดยรวมมีแนวโน้มลดลง จากจำนวนเกิดมีชีพทั้งหมด 526,469 ในปี 2564 เป็น 462,240 ในปี 25671 การลดลงของจำนวนประชากรวัยเด็กส่งผลโดยตรงต่อขนาดของแรงงานในอนาคต ซึ่งอาจกระทบต่อศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจและความยั่งยืนของระบบสวัสดิการสังคม
ที่ผ่านมา รัฐบาลมีนโยบายประชากรที่มีเป้าหมายแตกต่างกันไปในแต่ละช่วง โดยในช่วงแรก มีนโยบายลดอัตราการเพิ่มประชากรเพื่อมุ่งเน้นการส่งเสริมคุณภาพของประชากร ผ่านการให้ความรู้ด้านโภชนาการและอนามัยแม่และเด็ก ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 1-7 ในช่วงที่สอง มีนโยบายรักษาระดับอัตราเจริญพันธุ์ของประชากรให้คงที่ในระดับทดแทนพร้อมทั้งส่งเสริมนโยบายผู้สูงอายุ ตามแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 7 เป็นต้นไป และในช่วงที่สาม ประเทศไทยมีอัตราการเกิดลดลงอย่างมาก รัฐบาลจึงมีนโยบายรักษาอัตราเจริญพันธุ์รวมให้คงที่ ไม่ต่ำจากเดิม รวมถึงให้ความสำคัญกับการเกิดอย่างมีคุณภาพ พร้อมส่งเสริมการดูแลและพัฒนาศักยภาพผู้สูงอายุ ดังปรากฏในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 ซึ่งสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี2
แม้ปัจจุบัน ประเทศไทยจะมีนโยบายที่สนับสนุนครอบครัวในการดูแลบุตรอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการลาคลอดของพ่อและแม่ที่เพิ่มจากเดิม 98 วันเป็น 120 วัน หรือการให้เงินสนับสนุนเด็กเล็ก 0-6 ปี รวมถึงมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับครอบครัวที่มีบุตร และมีศูนย์เด็กเล็กที่กระจายตัวอยู่ในชุมชน แต่จากอัตราการเกิดที่ลดลง จึงดูเหมือนว่านโยบายเหล่านี้จะเป็นเพียงการสนับสนุนและแบ่งเบาภาระในการเลี้ยงดูบุตรของครอบครัวเพียงบางส่วนเท่านั้น ไม่ได้มีส่วนในการสร้างแรงจูงใจให้ครอบครัวตัดสินใจมีบุตรเท่าใดนัก
ท่ามกลางวิกฤตนี้ การเปลี่ยนจุดเน้นจาก "ปริมาณ" ไปสู่ "คุณภาพ" ของเด็กจึงไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นยุทธศาสตร์ที่จำเป็นอย่างยิ่งในการสร้างอนาคตของชาติ เพราะเด็กที่เติบโตอย่างมีคุณภาพจะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่มีผลิตภาพสูง (High-Productivity Workforce) ซึ่งสามารถขับเคลื่อนนวัตกรรมและสร้างความมั่งคั่งให้แก่ประเทศได้ แม้จะมีจำนวนน้อยลงก็ตาม โดยแผนประชากรเพื่อการพัฒนาประเทศระยะยาว 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) มียุทธศาสตร์ที่สำคัญ ได้แก่ 1) การส่งเสริมให้ประชากรวัยเจริญพันธุ์มีบุตร 2) การพัฒนาและยกระดับผลิตภาพประชากร 3) การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากร 4) การสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและระบบการคุ้มครองทางสังคม 5) การสนับสนุนสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาประชากร2
การประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาทั้งในระดับนานาชาติและระดับชาติยืนยันว่าคุณภาพการศึกษาไทยอยู่ในภาวะถดถอยอย่างรุนแรงและเป็นปัญหาสะสมมานาน
การวิเคราะห์ผล PISA 2022: ความถดถอยที่ไม่สามารถมองข้าม
ผลการประเมิน PISA (Programme for International Student Assessment) ปี 2022 ซึ่งประเมินสมรรถนะของนักเรียนอายุ 15 ปี ใน 81 ประเทศ/เขตเศรษฐกิจ พบว่า คะแนนเฉลี่ยของเด็กไทยต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของ OECD ในทุกด้าน และเป็นคะแนนที่ต่ำที่สุดในรอบ 20 ปี3 เมื่อเทียบกับประเทศชั้นนำในเอเชีย เช่น สิงคโปร์ที่คว้าอันดับ 14 ความแตกต่างนี้ยิ่งตอกย้ำถึงความจำเป็นในการปฏิรูปการศึกษาของประเทศไทย
ตารางที่ 1: ผลคะแนนเฉลี่ย PISA 2022 ของประเทศไทยและแนวโน้ม
| ด้านสมรรถนะ | คะแนน PISA 2022 (ประเทศไทย) | อันดับ (จาก 81 ประเทศ/เขตเศรษฐกิจ) | การเปลี่ยนแปลงเทียบกับ PISA 2018 (คะแนน) | แนวโน้มระยะยาว (20 ปี) |
|---|---|---|---|---|
| คณิตศาสตร์ | 394 | 58 | ลดลง 25 | ต่ำสุดในรอบ 20 ปี/แนวโน้มลดลง |
| การอ่าน | 379 | 64 | ลดลง 14 | ต่ำสุดในรอบ 20 ปี/แนวโน้มลดลง |
| วิทยาศาสตร์ | 409 | 58 | ลดลง 17 | ต่ำสุดในรอบ 20 ปี/ไม่เปลี่ยนแปลงทางสถิติ |
แหล่งข้อมูล: สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี PISA Thailand3
แม้คะแนน PISA จะร่วงลงเกือบทั้งโลกเนื่องจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของ COVID-19 (3) แต่การที่คะแนนคณิตศาสตร์ของไทยตกลงมาอยู่ในระดับ 300 เป็นครั้งแรก จากเดิมที่เคยอยู่ในระดับสูงกว่า 400 คะแนนมาตลอด3 บ่งชี้ว่า ภาวะการเรียนรู้ที่ถดถอย (Learning Loss) ของประเทศไทยมีความรุนแรงกว่าค่าเฉลี่ยโลกอย่างมีนัยสำคัญ การลดลงอย่างต่อเนื่องของคะแนนในวิชาคณิตศาสตร์และการอ่านในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ยืนยันว่า ปัญหานี้ไม่ได้เป็นเพียงผลกระทบชั่วคราวจากวิกฤตสุขภาพ แต่เป็นผลมาจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่สั่งสมมานานในระบบการจัดการเรียนรู้3
การยืนยันปัญหาทักษะพื้นฐานด้วย O-NET ปีการศึกษา 2567
ผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ซึ่งวัดทักษะพื้นฐานของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 (ม.6) ในปีการศึกษา 2567 ยืนยันถึงความล้มเหลวในการสร้างรากฐานความรู้หลัก (Hard Skills) ที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้น5
คะแนนเฉลี่ยของนักเรียน ม.6 ในวิชาหลักยังคงต่ำกว่าเกณฑ์ความสามารถ (50 คะแนน) อย่างน่ากังวล โดยมีรายละเอียดดังนี้5:
ตารางที่ 2: ผลสถิติคะแนนเฉลี่ย O-NET ระดับชั้น ม.6 ปีการศึกษา 2567 (ภาพรวมประเทศ)
| วิชา | คะแนนเฉลี่ย (เต็ม 100) |
| คณิตศาสตร์ | 19.96 |
| ภาษาอังกฤษ | 26.19 |
| วิทยาศาสตร์ | 29.09 |
| ภาษาไทย | 40.78 |
แหล่งข้อมูล: สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) 5
PISA วัดทักษะการประยุกต์ใช้และการคิดขั้นสูง ขณะที่ O-NET วัดทักษะพื้นฐาน (3R’s: Reading, Writing, Arithmetic)6 การที่ผลสอบทั้งสองระบบให้ผลต่ำอย่างน่าตกใจพร้อมกัน แสดงให้เห็นว่าปัญหาไม่ได้มีเพียงแค่การขาดทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์ (Critical Thinking) เท่านั้น แต่รวมถึงความล้มเหลวในการสร้าง รากฐานความรู้หลัก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการเรียนรู้ขั้นต่อไป5 โรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ในภาพรวมมีคะแนนเฉลี่ยต่ำกว่าระดับประเทศ ซึ่งสะท้อนความแตกต่างของคุณภาพการจัดการศึกษาในแต่ละพื้นที่อย่างชัดเจน5
คุณภาพของเด็กในช่วงปฐมวัย (Early Childhood) มีความสัมพันธ์โดยตรงกับสภาพแวดล้อมในครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมของพ่อแม่ มีงานวิจัยที่ยืนยันตรงกันว่า ความมั่นคงทางรายได้และสมดุลระหว่างการทำงานกับการเลี้ยงดูบุตร (Work-Life Balance) ของผู้ปกครองคือปัจจัยที่ส่งผลต่อพัฒนาการของเด็กในระยะยาว7
การลงทุนในเด็กปฐมวัยไม่ใช่เพียงแค่เรื่องทางสังคม แต่ยังเป็นการลงทุนทางเศรษฐศาสตร์ที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดในระยะยาว เจมส์ เฮ็คแมน (James Heckman) นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า "การลงทุนในโปรแกรมพัฒนาเด็กปฐมวัยที่มีคุณภาพให้ผลตอบแทนคืนสู่สังคมสูงถึง 7-13% ต่อปี"11 ขณะที่ หลักการสำคัญสามประการเพื่อพัฒนาผลลัพธ์ของเด็กและครอบครัวให้ดียิ่งขึ้น (3 Principles to Improve Outcomes for Children and Families) โดย ศูนย์พัฒนาเด็กแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Center on the Developing Child at Harvard University ) (2021) เน้นว่าวิธีการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้เด็ก มี 3 หลักการ ได้แก่ การสร้างสัมพันธ์ที่ตอบสนอง การเสริมทักษะชีวิต และลดความเครียด และอธิบายว่ารากฐานนี้จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีในทุกมิติของชีวิตในระยะยาว12 ดังนั้นเด็กที่ได้รับการดูแลและส่งเสริมพัฒนาการอย่างเหมาะสมตั้งแต่เนิ่นๆ จะมีแนวโน้มที่จะมีผลการเรียนดีขึ้น มีรายได้สูงขึ้นเมื่อเข้าสู่ตลาดแรงงาน มีสุขภาพกายและใจที่ดีกว่า และมีโอกาสพึ่งพิงสวัสดิการจากรัฐน้อยลง ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยลดภาระทางการคลังและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว
หลายประเทศที่เผชิญปัญหาโครงสร้างประชากรคล้ายคลึงกันได้พิสูจน์แล้วว่า นโยบายสนับสนุนครอบครัว (Family-Friendly Policies) เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูง โดยมีทั้งนโยบายที่เน้นให้เงินสนับสนุน เน้นการจัดบริการดูแลเด็กเล็ก และเน้นการสนับสนุนทางภาษี
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย ซึ่งมีนโยบายส่งเสริมบทบาทของบิดาในการเลี้ยงดูบุตรและสนับสนุนการลาเพื่อเลี้ยงดูบุตร (Parental Leave) ที่ยืดหยุ่นและเพียงพอสำหรับทั้งพ่อและแม่ พร้อมเงินอุดหนุน และบริการศูนย์ดูแลเด็กกลางวันที่มีคุณภาพและราคาย่อมเยา13 นโยบายเหล่านี้ช่วยให้พ่อแม่สามารถรักษาสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและครอบครัวได้ โดยไม่กระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและโอกาสทางอาชีพ
ในขณะที่ กลุ่มประเทศแองโกล-แซกซัน (สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์) มุ่งเน้นการให้เงินอุดหนุน โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวยากจน กลุ่มยุโรปภาคพื้นทวีป (ออสเตรีย เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ เบลเยียม ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ และฝรั่งเศส) ในอดีตเน้นการช่วยเหลือด้านการเงินและการคงบทบาทดั้งเดิมของเพศชาย-หญิง แต่ต่อมาได้เปลี่ยนทิศทางเพื่อสนับสนุนการทำงานของสตรีและการปรับสมดุลระหว่างงานกับครอบครัว โดยเบลเยียมและฝรั่งเศสเป็นผู้นำในการพัฒนานโยบายสนับสนุนสถานรับเลี้ยงเด็กสาธารณะตั้งแต่ทศวรรษ 1960–1970 ประเทศยุโรปกลางและตะวันออกมีนโยบายครอบครัวที่แตกต่างกันออกไป โดย เช็กเกียและฮังการี เน้นนโยบายแบบครอบครัวนิยม (familialism) โดยจัดให้มีการลาคลอด/ลาเลี้ยงดูบุตรในระยะยาว สโลวีเนีย เอสโตเนีย และลิทัวเนีย มีนโยบายที่มุ่งสนับสนุนการปรับสมดุลระหว่างการทำงานและครอบครัว พร้อมทั้งจัดบริการดูแลเด็กปฐมวัยที่ครอบคลุม14
งานวิจัยระบุว่าปัจจัยที่สนับสนุนให้คนรุ่นใหม่แต่งงานและมีบุตรสามารถแบ่งได้เป็น 1) ปัจจัยในระดับมหภาค ประกอบไปด้วย บรรทัดฐานของสังคม วัฒนธรรม สภาพเศรษฐกิจ (ค่าครองชีพ) ระบบคมนาคม กฎหมาย ระเบียบ นโยบายของประเทศ ระบบสาธารณสุข ระบบและคุณภาพการศึกษา ความเหลื่อนล้ำในสังคม และบทบาทชายหญิง 2) ปัจจัยในระดับสังคม ได้แก่ ค่านิยม ประเพณีปฏิบัติในสังคม สภาพแวดล้อมและความปลอดภัยในสังคม ความสัมพันธ์กับญาติพี่น้อง อิทธิพลจากเพื่อน 3) ปัจจัยด้านการทำงาน รวมถึง ลักษณะงาน กฎระเบียบและวัฒนธรรมองค์กร และระยะทางจากที่พักไปที่ทำงาน และ 4) ปัจจัยในระดับบุคคล เช่น วิถีชีวิต เป้าหมายสำคัญในชีวิต สถานะทางเศรษฐกิจ ระดับการศึกษา การให้คุณค่า ความพึงพอใจส่วนตัว สถานภาพสมรส/การมีบุตร และลักษณะทางประชากร15
สำหรับประเทศไทย การลงทุนเชิงนโยบายเพื่อยกระดับคุณภาพเด็กอย่างเป็นระบบจึงเป็นวาระเร่งด่วน ซึ่งควรครอบคลุมทุกมิติสำคัญต่อไปนี้:
ในยุคที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤต “เกิดน้อยและสังคมสูงวัย” นั้น เด็กถือเป็นทรัพยากรล้ำค่าที่มีจำนวนลดลงเรื่อย ๆ ดังนั้น การพัฒนาคุณภาพเด็กมีความสำคัญเป็นอย่างมาก รัฐบาลควรเพิ่มความเข้มข้นทางนโยบายในการสนับสนุนครอบครัวในการดูแลบุตรให้มีคุณภาพมากขึ้นทั้งในระดับบุคคล ควบคู่ไปกับการพัฒนานโยบายในระดับสังคมและระดับมหภาค เพื่อให้แน่ใจว่าเด็กไทยในอนาคตจะมีคุณภาพและศักยภาพในการพัฒนาประเทศไทยในอนาคต
เอกสารอ้างอิง
