The Prachakorn

คุณภาพเด็กไทยในยุค “เกิดน้อยและสังคมสูงวัย”


รีนา ต๊ะดี

17 พฤศจิกายน 2568
4



ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อนจากวิกฤต “เกิดน้อยและสังคมสูงวัย” โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่าอัตราการเกิดโดยรวมมีแนวโน้มลดลง จากจำนวนเกิดมีชีพทั้งหมด 526,469 ในปี 2564 เป็น 462,240 ในปี 25671 การลดลงของจำนวนประชากรวัยเด็กส่งผลโดยตรงต่อขนาดของแรงงานในอนาคต ซึ่งอาจกระทบต่อศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจและความยั่งยืนของระบบสวัสดิการสังคม 

ที่ผ่านมา รัฐบาลมีนโยบายประชากรที่มีเป้าหมายแตกต่างกันไปในแต่ละช่วง โดยในช่วงแรก  มีนโยบายลดอัตราการเพิ่มประชากรเพื่อมุ่งเน้นการส่งเสริมคุณภาพของประชากร ผ่านการให้ความรู้ด้านโภชนาการและอนามัยแม่และเด็ก ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 1-7 ในช่วงที่สอง  มีนโยบายรักษาระดับอัตราเจริญพันธุ์ของประชากรให้คงที่ในระดับทดแทนพร้อมทั้งส่งเสริมนโยบายผู้สูงอายุ ตามแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 7 เป็นต้นไป และในช่วงที่สาม   ประเทศไทยมีอัตราการเกิดลดลงอย่างมาก รัฐบาลจึงมีนโยบายรักษาอัตราเจริญพันธุ์รวมให้คงที่ ไม่ต่ำจากเดิม รวมถึงให้ความสำคัญกับการเกิดอย่างมีคุณภาพ พร้อมส่งเสริมการดูแลและพัฒนาศักยภาพผู้สูงอายุ ดังปรากฏในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 ซึ่งสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี2

แม้ปัจจุบัน ประเทศไทยจะมีนโยบายที่สนับสนุนครอบครัวในการดูแลบุตรอยู่แล้ว   ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการลาคลอดของพ่อและแม่ที่เพิ่มจากเดิม 98 วันเป็น 120 วัน หรือการให้เงินสนับสนุนเด็กเล็ก 0-6 ปี รวมถึงมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับครอบครัวที่มีบุตร และมีศูนย์เด็กเล็กที่กระจายตัวอยู่ในชุมชน แต่จากอัตราการเกิดที่ลดลง จึงดูเหมือนว่านโยบายเหล่านี้จะเป็นเพียงการสนับสนุนและแบ่งเบาภาระในการเลี้ยงดูบุตรของครอบครัวเพียงบางส่วนเท่านั้น ไม่ได้มีส่วนในการสร้างแรงจูงใจให้ครอบครัวตัดสินใจมีบุตรเท่าใดนัก 

ท่ามกลางวิกฤตนี้ การเปลี่ยนจุดเน้นจาก "ปริมาณ" ไปสู่ "คุณภาพ" ของเด็กจึงไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นยุทธศาสตร์ที่จำเป็นอย่างยิ่งในการสร้างอนาคตของชาติ เพราะเด็กที่เติบโตอย่างมีคุณภาพจะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่มีผลิตภาพสูง (High-Productivity Workforce) ซึ่งสามารถขับเคลื่อนนวัตกรรมและสร้างความมั่งคั่งให้แก่ประเทศได้ แม้จะมีจำนวนน้อยลงก็ตาม โดยแผนประชากรเพื่อการพัฒนาประเทศระยะยาว 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) มียุทธศาสตร์ที่สำคัญ ได้แก่ 1) การส่งเสริมให้ประชากรวัยเจริญพันธุ์มีบุตร 2) การพัฒนาและยกระดับผลิตภาพประชากร 3) การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากร 4) การสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและระบบการคุ้มครองทางสังคม 5) การสนับสนุนสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาประชากร2

ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาขั้นพื้นฐาน: การยืนยันภาวะวิกฤต

การประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาทั้งในระดับนานาชาติและระดับชาติยืนยันว่าคุณภาพการศึกษาไทยอยู่ในภาวะถดถอยอย่างรุนแรงและเป็นปัญหาสะสมมานาน 

การวิเคราะห์ผล PISA 2022: ความถดถอยที่ไม่สามารถมองข้าม

ผลการประเมิน PISA (Programme for International Student Assessment) ปี 2022 ซึ่งประเมินสมรรถนะของนักเรียนอายุ 15 ปี ใน 81 ประเทศ/เขตเศรษฐกิจ พบว่า คะแนนเฉลี่ยของเด็กไทยต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของ OECD ในทุกด้าน และเป็นคะแนนที่ต่ำที่สุดในรอบ 20 ปี3 เมื่อเทียบกับประเทศชั้นนำในเอเชีย เช่น สิงคโปร์ที่คว้าอันดับ 14 ความแตกต่างนี้ยิ่งตอกย้ำถึงความจำเป็นในการปฏิรูปการศึกษาของประเทศไทย

ตารางที่ 1: ผลคะแนนเฉลี่ย PISA 2022 ของประเทศไทยและแนวโน้ม 

ด้านสมรรถนะ คะแนน PISA 2022 (ประเทศไทย) อันดับ (จาก 81 ประเทศ/เขตเศรษฐกิจ) การเปลี่ยนแปลงเทียบกับ PISA 2018 (คะแนน) แนวโน้มระยะยาว (20 ปี)
คณิตศาสตร์ 394 58 ลดลง 25 ต่ำสุดในรอบ 20 ปี/แนวโน้มลดลง
การอ่าน 379 64 ลดลง 14 ต่ำสุดในรอบ 20 ปี/แนวโน้มลดลง
วิทยาศาสตร์ 409 58 ลดลง 17 ต่ำสุดในรอบ 20 ปี/ไม่เปลี่ยนแปลงทางสถิติ

แหล่งข้อมูล:   สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี PISA Thailand3

แม้คะแนน PISA จะร่วงลงเกือบทั้งโลกเนื่องจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของ COVID-19 (3) แต่การที่คะแนนคณิตศาสตร์ของไทยตกลงมาอยู่ในระดับ 300 เป็นครั้งแรก จากเดิมที่เคยอยู่ในระดับสูงกว่า 400 คะแนนมาตลอด3 บ่งชี้ว่า ภาวะการเรียนรู้ที่ถดถอย (Learning Loss) ของประเทศไทยมีความรุนแรงกว่าค่าเฉลี่ยโลกอย่างมีนัยสำคัญ การลดลงอย่างต่อเนื่องของคะแนนในวิชาคณิตศาสตร์และการอ่านในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ยืนยันว่า ปัญหานี้ไม่ได้เป็นเพียงผลกระทบชั่วคราวจากวิกฤตสุขภาพ แต่เป็นผลมาจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่สั่งสมมานานในระบบการจัดการเรียนรู้3

การยืนยันปัญหาทักษะพื้นฐานด้วย O-NET ปีการศึกษา 2567

ผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ซึ่งวัดทักษะพื้นฐานของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 (ม.6) ในปีการศึกษา 2567 ยืนยันถึงความล้มเหลวในการสร้างรากฐานความรู้หลัก (Hard Skills) ที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้น5

คะแนนเฉลี่ยของนักเรียน ม.6 ในวิชาหลักยังคงต่ำกว่าเกณฑ์ความสามารถ (50 คะแนน) อย่างน่ากังวล โดยมีรายละเอียดดังนี้5:

ตารางที่ 2: ผลสถิติคะแนนเฉลี่ย O-NET ระดับชั้น ม.6 ปีการศึกษา 2567 (ภาพรวมประเทศ) 

วิชา คะแนนเฉลี่ย (เต็ม 100)
คณิตศาสตร์ 19.96
ภาษาอังกฤษ 26.19
วิทยาศาสตร์ 29.09
ภาษาไทย 40.78

แหล่งข้อมูล:   สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) 5

PISA วัดทักษะการประยุกต์ใช้และการคิดขั้นสูง ขณะที่ O-NET วัดทักษะพื้นฐาน (3R’s: Reading, Writing, Arithmetic)6 การที่ผลสอบทั้งสองระบบให้ผลต่ำอย่างน่าตกใจพร้อมกัน แสดงให้เห็นว่าปัญหาไม่ได้มีเพียงแค่การขาดทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์ (Critical Thinking) เท่านั้น แต่รวมถึงความล้มเหลวในการสร้าง รากฐานความรู้หลัก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการเรียนรู้ขั้นต่อไป5 โรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ในภาพรวมมีคะแนนเฉลี่ยต่ำกว่าระดับประเทศ ซึ่งสะท้อนความแตกต่างของคุณภาพการจัดการศึกษาในแต่ละพื้นที่อย่างชัดเจน5

คุณภาพการเลี้ยงดู: เงาสะท้อนจากสมดุลชีวิตและการทำงานของพ่อแม่

คุณภาพของเด็กในช่วงปฐมวัย (Early Childhood) มีความสัมพันธ์โดยตรงกับสภาพแวดล้อมในครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมของพ่อแม่ มีงานวิจัยที่ยืนยันตรงกันว่า ความมั่นคงทางรายได้และสมดุลระหว่างการทำงานกับการเลี้ยงดูบุตร (Work-Life Balance) ของผู้ปกครองคือปัจจัยที่ส่งผลต่อพัฒนาการของเด็กในระยะยาว7 

  • ผลกระทบจากความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ ครอบครัวที่พ่อหรือแม่ โดยเฉพาะฝ่ายหญิง ต้องลาออกจากงานเพื่อมาเลี้ยงดูบุตรเต็มเวลา มักเผชิญกับรายได้ที่ลดลงและความไม่มั่นคงทางการเงิน8,9  ข้อจำกัดนี้ส่งผลโดยตรงต่อโอกาสในการลงทุนด้านพัฒนาการของลูก เช่น การเข้าถึงโภชนาการที่ดี การบริการสุขภาพ การศึกษาปฐมวัยที่มีคุณภาพ หรือกิจกรรมส่งเสริมทักษะต่างๆ
  • ความสำคัญของครอบครัวที่มีรายได้ 2 แหล่ง ในทางตรงกันข้าม ครอบครัวที่ผู้ปกครองทั้งสองสามารถทำงานและมีรายได้ที่มั่นคง จะมีทรัพยากรเพียงพอในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้และส่งเสริมพัฒนาการของเด็กได้อย่างเต็มศักยภาพ10

ผลตอบแทนเชิงเศรษฐศาสตร์: ทำไมการลงทุนในเด็กปฐมวัยจึงคุ้มค่าที่สุด

การลงทุนในเด็กปฐมวัยไม่ใช่เพียงแค่เรื่องทางสังคม แต่ยังเป็นการลงทุนทางเศรษฐศาสตร์ที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดในระยะยาว เจมส์ เฮ็คแมน (James Heckman) นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า "การลงทุนในโปรแกรมพัฒนาเด็กปฐมวัยที่มีคุณภาพให้ผลตอบแทนคืนสู่สังคมสูงถึง 7-13% ต่อปี"11 ขณะที่ หลักการสำคัญสามประการเพื่อพัฒนาผลลัพธ์ของเด็กและครอบครัวให้ดียิ่งขึ้น (3 Principles to Improve Outcomes for Children and Families)   โดย ศูนย์พัฒนาเด็กแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Center on the Developing Child at Harvard University  ) (2021) เน้นว่าวิธีการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้เด็ก มี 3 หลักการ ได้แก่ การสร้างสัมพันธ์ที่ตอบสนอง การเสริมทักษะชีวิต และลดความเครียด และอธิบายว่ารากฐานนี้จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีในทุกมิติของชีวิตในระยะยาว12 ดังนั้นเด็กที่ได้รับการดูแลและส่งเสริมพัฒนาการอย่างเหมาะสมตั้งแต่เนิ่นๆ จะมีแนวโน้มที่จะมีผลการเรียนดีขึ้น มีรายได้สูงขึ้นเมื่อเข้าสู่ตลาดแรงงาน มีสุขภาพกายและใจที่ดีกว่า และมีโอกาสพึ่งพิงสวัสดิการจากรัฐน้อยลง ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยลดภาระทางการคลังและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว 

บทเรียนจากต่างประเทศ

หลายประเทศที่เผชิญปัญหาโครงสร้างประชากรคล้ายคลึงกันได้พิสูจน์แล้วว่า นโยบายสนับสนุนครอบครัว (Family-Friendly Policies) เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูง โดยมีทั้งนโยบายที่เน้นให้เงินสนับสนุน เน้นการจัดบริการดูแลเด็กเล็ก และเน้นการสนับสนุนทางภาษี 

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย ซึ่งมีนโยบายส่งเสริมบทบาทของบิดาในการเลี้ยงดูบุตรและสนับสนุนการลาเพื่อเลี้ยงดูบุตร (Parental Leave) ที่ยืดหยุ่นและเพียงพอสำหรับทั้งพ่อและแม่ พร้อมเงินอุดหนุน และบริการศูนย์ดูแลเด็กกลางวันที่มีคุณภาพและราคาย่อมเยา13 นโยบายเหล่านี้ช่วยให้พ่อแม่สามารถรักษาสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและครอบครัวได้ โดยไม่กระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและโอกาสทางอาชีพ

ในขณะที่ กลุ่มประเทศแองโกล-แซกซัน (สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์) มุ่งเน้นการให้เงินอุดหนุน โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวยากจน กลุ่มยุโรปภาคพื้นทวีป (ออสเตรีย เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ เบลเยียม ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ และฝรั่งเศส) ในอดีตเน้นการช่วยเหลือด้านการเงินและการคงบทบาทดั้งเดิมของเพศชาย-หญิง แต่ต่อมาได้เปลี่ยนทิศทางเพื่อสนับสนุนการทำงานของสตรีและการปรับสมดุลระหว่างงานกับครอบครัว โดยเบลเยียมและฝรั่งเศสเป็นผู้นำในการพัฒนานโยบายสนับสนุนสถานรับเลี้ยงเด็กสาธารณะตั้งแต่ทศวรรษ 1960–1970 ประเทศยุโรปกลางและตะวันออกมีนโยบายครอบครัวที่แตกต่างกันออกไป โดย เช็กเกียและฮังการี เน้นนโยบายแบบครอบครัวนิยม (familialism) โดยจัดให้มีการลาคลอด/ลาเลี้ยงดูบุตรในระยะยาว สโลวีเนีย เอสโตเนีย และลิทัวเนีย มีนโยบายที่มุ่งสนับสนุนการปรับสมดุลระหว่างการทำงานและครอบครัว พร้อมทั้งจัดบริการดูแลเด็กปฐมวัยที่ครอบคลุม14

ทางออกเชิงนโยบาย

งานวิจัยระบุว่าปัจจัยที่สนับสนุนให้คนรุ่นใหม่แต่งงานและมีบุตรสามารถแบ่งได้เป็น 1) ปัจจัยในระดับมหภาค ประกอบไปด้วย บรรทัดฐานของสังคม วัฒนธรรม สภาพเศรษฐกิจ (ค่าครองชีพ) ระบบคมนาคม กฎหมาย ระเบียบ นโยบายของประเทศ ระบบสาธารณสุข ระบบและคุณภาพการศึกษา ความเหลื่อนล้ำในสังคม และบทบาทชายหญิง 2) ปัจจัยในระดับสังคม ได้แก่ ค่านิยม ประเพณีปฏิบัติในสังคม สภาพแวดล้อมและความปลอดภัยในสังคม ความสัมพันธ์กับญาติพี่น้อง อิทธิพลจากเพื่อน 3) ปัจจัยด้านการทำงาน รวมถึง ลักษณะงาน กฎระเบียบและวัฒนธรรมองค์กร และระยะทางจากที่พักไปที่ทำงาน และ 4) ปัจจัยในระดับบุคคล เช่น วิถีชีวิต เป้าหมายสำคัญในชีวิต สถานะทางเศรษฐกิจ ระดับการศึกษา การให้คุณค่า ความพึงพอใจส่วนตัว สถานภาพสมรส/การมีบุตร และลักษณะทางประชากร15

สำหรับประเทศไทย การลงทุนเชิงนโยบายเพื่อยกระดับคุณภาพเด็กอย่างเป็นระบบจึงเป็นวาระเร่งด่วน ซึ่งควรครอบคลุมทุกมิติสำคัญต่อไปนี้:

  1. นโยบายในระดับมหภาค  
    a. การพัฒนาทางด้านสาธารณูปโภคให้เป็นมิตรต่อเด็กและครอบครัว  การพัฒนาการศึกษาและการบริการทางสาธารณสุขที่มีคุณภาพ เข้าถึงได้ง่าย การคมนาคมและขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพ ราคาสมเหตุสมผล และปลอดภัย 
    b. การขยายสิทธิลาคลอดและส่งเสริมบทบาทของพ่อ: เพิ่มระยะเวลาการลาคลอดที่ได้รับเงินเดือนสำหรับพ่อและแม่ และสร้างแรงจูงใจให้พ่อสามารถลาเพื่อช่วยเลี้ยงดูบุตรได้จริง
    c. สร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนในการสร้างความยืดหยุ่นในการทำงานของครอบครัวที่มีบุตร
  2. นโยบายในระดับสังคม
    a. การส่งเสริมสภาพแวดล้อมและสังคมที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก รวมถึงพื้นที่สาธารณะสำหรับเด็กเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาการ
  3. นโยบายที่สนับสนุนการทำงาน 
    a. การพัฒนาสถานดูแลเด็กปฐมวัย (Daycare/Nursery): ยกระดับมาตรฐานและขยายบริการให้ครอบคลุมในราคาที่เข้าถึงได้ เพื่อเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยสำหรับพ่อแม่ที่ต้องทำงาน
    b. การส่งเสริมสิทธิในการขอทำงานแบบยืดหยุ่นเวลา อาจมีหลายรูปแบบ เช่น ทำงานพาร์ทไทม์ เวลาเข้าออกงานที่ยืดหยุ่น การทำงานที่บ้านหรือทำงานทางไกล เป็นต้น
  4. นโยบายในระดับบุคคล
    a. การส่งเสริมสุขภาพและโภชนาการของเด็ก: ตั้งแต่ช่วง 1,000 วันแรกของชีวิต ซึ่งเป็นช่วงเวลาทองของการพัฒนาสมอง
    b. เงินอุดหนุนเด็กเล็กถ้วนหน้า: เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายและรับประกันว่าเด็กทุกคนจะเข้าถึงปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโ  

ในยุคที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤต “เกิดน้อยและสังคมสูงวัย” นั้น เด็กถือเป็นทรัพยากรล้ำค่าที่มีจำนวนลดลงเรื่อย ๆ ดังนั้น การพัฒนาคุณภาพเด็กมีความสำคัญเป็นอย่างมาก รัฐบาลควรเพิ่มความเข้มข้นทางนโยบายในการสนับสนุนครอบครัวในการดูแลบุตรให้มีคุณภาพมากขึ้นทั้งในระดับบุคคล ควบคู่ไปกับการพัฒนานโยบายในระดับสังคมและระดับมหภาค เพื่อให้แน่ใจว่าเด็กไทยในอนาคตจะมีคุณภาพและศักยภาพในการพัฒนาประเทศไทยในอนาคต


เอกสารอ้างอิง

  1. สถิติรายปีของประเทศไทย พ.ศ. 2568 [อินเทอร์เน็ต]. สำนักงานสถิติแห่งชาติ; [อ้างถึง 28 กันยายน 2025]. Available at: https://www.nso.go.th/public/e-book/Statistical-Yearbook/SYB-2025/88/
  2. รศรินทร์ เกรย์, อภิชาต จำรัสฤทธิรงค์, กัญญา อภิพรชัยสกุล. รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ ชุดโครงการ “นโยบายเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางประชากรของประเทศไทย” [อินเทอร์เน็ต]. กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม; 2562 [อ้างถึง 28 กันยายน 2025] น. 43–5. Available at: https://elibrary.tsri.or.th/fullP/RDC6110003/RDC6110003_full.pdf
  3. สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. ผลการประเมิน PISA 2022 : คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และการอ่าน [อินเทอร์เน็ต]. กรุงเทพฯ : สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี; [เข้าถึงเมื่อ 28 ก.ย. 2568]. เข้าถึงได้จาก https://pisathailand.ipst.ac.th/news-21/
  4. คัทมาตย์ วรุณรัตน์. ผลสอบ PISA ล่าสุด เด็กไทยคะแนนต่ำลงทุกทักษะ ส่วนเด็กสิงคโปร์คว้าอันดับ 1. กรุงเทพธุรกิจ [อินเทอร์เน็ต]. 6 ธันวาคม 2023; Available at: https://www.bangkokbiznews.com/health/education/1102332
  5. สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน). เว็บไซต์ สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ [อินเทอร์เน็ต]. กรุงเทพฯ: สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน); [เข้าถึงเมื่อ 28 ก.ย. 2568]. เข้าถึงได้จาก: https://www.niets.or.th/
  6. ทักษะอะไรบ้างที่เด็กในศตวรรษที่ 21 จำเป็นต้องมี. British Council [อินเทอร์เน็ต]. Available at: https://www.britishcouncil.or.th/english/tips/general/miscellaneous/what-skills-do-children-need-in-the-21-century
  7. Pew Research Center. Raising kids and running a household: How working parents share the load. Washington, DC: Pew Research Center; 2015. 
  8. มนสิการ กาญจนะจิตรา, รีนา ต๊ะดี, กัญญาพัชร สุทธิเกษม. การตัดสินใจด้านการเจริญพันธุ์ของคนเจนวาย. ใน: ทวีสิทธิ์ ส, วจนสาระ ก, บรรณาธิการ. ประชากรและสังคม 2560: ความเป็นธรรมและความเป็นไทด้านเพศและการเจริญพันธุ์ ความท้าทายที่ไม่สิ้นสุด. นครปฐม: สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล; 2560. น. 141–56. 
  9. มนสิการ กาญจนะจิตรา, และคณะ. ราคาของการมีลูก: เมื่องานและลูกผูกอยู่บนเชือกเส้นเดียวกัน. นครปฐม: สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล; 2562. 
  10. Magnuson K, Duncan GJ. Can Early Childhood Interventions Decrease Inequality of Economic Opportunity? Rsf. 20160516 พิมพ์ครั้งที่ พฤษภาคม 2016;2(2):123–41. 
  11. Heckman JJ. Skill formation and the economics of investing in disadvantaged children. Science. 30 มิถุนายน 2006;312(5782):1900–2. 
  12. Center on the Developing Child at Harvard University, Three Principles to Improve Outcomes for Children and Families. 2021. 
  13. Organisation for Economic Co-operation and Development (OECD). PF3.1: Public spending on childcare and early education. . Paris: OECD; 2023 [อ้างถึง 7 กันยายน 2025]. (OECD Family Database 2023). Available at: https://webfs.oecd.org/Els-com/Family_Database/PF3_1_Public_spending_on_childcare_and_early_education.pdf
  14. Sobotka T, Matysiak A, Brzozowska Z. Policy responses to low fertility: How effective are they? [อินเทอร์เน็ต]. UNFPA; 2019 พค [อ้างถึง 28 กันยายน 2025] น. 33–4. (Population & Development Branch). Report No.: 1. Available at: https://www.unfpa.org/sites/default/files/pub-pdf/Policy_responses_low_fertility_UNFPA_WP_Final_corrections_7Feb2020_CLEAN.pdf
  15. มนสิการ กาญจนะจิตรา, กัญญาพัชร สุทธิเกษม, รีนา ต๊ะดี. เมื่องานรัดตัว จะสร้างครอบครัวได้อย่างไร: สมดุลชีวิตและงานของคนรุ่นใหม่ [อินเทอร์เน็ต]. สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล; 2560 [อ้างถึง 28 กันยายน 2025]. Available at: https://ipsr.mahidol.ac.th/wp-content/uploads/2022/03/Report-File-540.pdf

 

 


Tags :

CONTRIBUTOR

Related Posts
Copyright © 2020 สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม 73170
โทรศัพท์ 02-441-0201-4 โทรสาร 02-441-9333
Webmaster: piyawat.saw@mahidol.ac.th