ในช่วงเวลาที่โลกถูกขับเคลื่อนด้วยแนวคิดความยั่งยืน เราได้เห็นความพยายามของผู้คนที่จะอยู่ร่วมกันอย่างรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม คำถามสำคัญที่ท้าทายเราทุกคน — ต่อบุคคล ต่อชุมชน รวมทั้งการส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น — คือ พฤติกรรมที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม จะมีความยั่งยืนได้อย่างไร การปรับตัวให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอาจไม่ใช่เรื่องยากในระยะสั้น แต่การทำให้พฤติกรรมเหล่านั้นดำรงอยู่ต่อเนื่องและแพร่หลายกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่งโดยสิ้นเชิง งานวิจัยด้านประชากรและสังคมชี้ว่า การรักษาพฤติกรรมเช่นนี้ให้ยั่งยืน มิได้ขึ้นอยู่กับคุณค่าหรือความตั้งใจของแต่ละบุคคลเท่านั้น หากยังขึ้นอยู่กับโครงสร้างทางสังคม เศรษฐกิจ และนโยบายที่เอื้อต่อการเลือกอย่างรับผิดชอบ — สิ่งเหล่านี้คือพลังสำคัญให้ความยั่งยืนเกิดขึ้นได้จริง1
ลักษณะทางประชากรมีอิทธิพลอย่างมากต่อรูปแบบการใช้ทรัพยากรของมนุษย์ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ในประเทศกำลังพัฒนา ที่ต้องเผชิญความท้าทายในการสร้างอนาคตของตัวเองท่ามกลางสภาพสิ่งแวดล้อมที่กำลังเสื่อมโทรม เรื่องที่น่ายินดีคือ คนรุ่นใหม่มักมีความตระหนักรู้เรื่องสิ่งแวดล้อม และเปิดรับการเปลี่ยนแปลงมากกว่าคนรุ่นก่อน แต่การ “ตระหนักรู้” เพียงอย่างเดียว ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถ “ลงมือทำอย่างยั่งยืน” ได้จริง
งานวิจัยชี้ว่า แม้คนหนุ่มสาวจำนวนมากจะแสดงออกถึงความห่วงใยต่อสิ่งแวดล้อมอย่างชัดเจน แต่พวกเขาก็เผชิญกับข้อจำกัดหลายประการที่เป็นอุปสรรคต่อการตัดสินใจอย่างยั่งยืน เช่น รายได้ไม่มั่นคง ที่อยู่อาศัยไม่ถาวร รวมทั้งการขาดโครงสร้างพื้นฐานที่สนับสนุนพฤติกรรมที่ยั่งยืน เช่น ระบบการรีไซเคิล2
ดังนั้น ความยั่งยืนจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับ “ความตั้งใจดี” หรือ “ความพยายามส่วนตัว” เพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับโครงสร้างทางสังคมและบริบททางประชากร ที่กำหนดว่าใครมีโอกาสเลือกเส้นทางแห่งความยั่งยืนได้มากกว่ากัน
ทุกวันนี้ คนมากกว่าครึ่งโลกอาศัยอยู่ในเมือง ภายในปี 2050 ตัวเลขนี้อาจเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 70% เมืองจึงไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัยของผู้คน แต่ยังเป็นตัวกำหนดทิศทางของโลกว่าจะเดินไปในทางที่ยั่งยืนแค่ไหน การทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่เมืองกับชีวิตผู้คน หรือที่เรียกว่า “ภูมิศาสตร์ของชีวิตเมืองจึงเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างพฤติกรรมและวิถีชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริงแม้เมืองจะเป็นแหล่งปล่อยคาร์บอนขนาดใหญ่ แต่ในอีกมุมหนึ่ง เมืองก็สร้างโอกาสสำคัญในการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า ด้วยระบบขนส่งสาธารณะที่ดี ทางเดินเท้าที่ปลอดภัย โครงสร้างพื้นฐานที่ใช้ร่วมกัน และที่อยู่อาศัยที่ไม่ใช้พื้นที่มากเกินไป3
ความยั่งยืนของเมืองจึงไม่ใช่เรื่องของ “ใครคนหนึ่ง” แต่เป็นเรื่องของ “การออกแบบร่วมกัน” การมีทางเท้าที่ดี บ้านที่เข้าถึงได้ และระบบขนส่งที่สะดวก คือโครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยให้ผู้คนเลือกใช้ชีวิตอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้ง่ายขึ้น ในทางกลับกัน หากเมืองขยายอย่างไร้ทิศทาง เราอาจติดอยู่กับวิถีชีวิตที่ปล่อยคาร์บอนสูงโดยไม่รู้ตัว
พฤติกรรมที่ยั่งยืนของคนเมืองไม่ได้เริ่มจากความตั้งใจเพียงลำพัง แต่มาจากสภาพแวดล้อมที่ออกแบบให้ “การทำสิ่งดี ๆ” กลายเป็นเรื่องง่าย เป็นเรื่องปกติ และเป็นเรื่องของทุกคน
พฤติกรรมที่ยั่งยืนจะเกิดขึ้นและดำรงอยู่ได้จริงก็ต่อเมื่อมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้คนในสังคม เพราะมนุษย์คือสัตว์สังคมที่เรียนรู้และปรับตัวผ่านอิทธิพลของเพื่อน ชุมชน และสิ่งแวดล้อมรอบข้าง
นักสังคมวิทยาอธิบายปรากฏการณ์นี้ว่าเป็น “ลำดับขั้นของบรรทัดฐาน” (Norm cascade effect) — เมื่อคนจำนวนมากเริ่มปฏิบัติสิ่งใดซ้ำ ๆ จนเกิดการขยายวง และค่อย ๆ ถูกมองว่าเป็น “สิ่งที่ควรทำ” หรือ “เป็นเรื่องปกติ” ของสังคม
อย่างการแยกขยะหรือการประหยัดพลังงาน อาจเริ่มจากคนเพียงไม่กี่คน แต่เมื่อชุมชนร่วมมือและปฏิบัติต่อเนื่อง พฤติกรรมเหล่านี้จะพัฒนาเป็นความคาดหวังร่วม และในที่สุดกลายเป็นบรรทัดฐานทางวัฒนธรรม4, 5, 6 เช่นเดียวกับพฤติกรรมด้านสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ที่สามารถขยายผลได้จากการเริ่มต้นของคนกลุ่มเล็ก ๆ แต่ส่งผลไกลถึงระดับสังคมโดยรวม
งานวิจัยทางสังคมวิทยาและครอบครัวชี้ว่า เด็กที่เติบโตมาในครอบครัวที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม มักจะคงไว้ซึ่งค่านิยมแบบเดียวกันเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ โรงเรียนที่บูรณาการการเรียนรู้ด้านสิ่งแวดล้อมเข้าไว้ในหลักสูตร ช่วยเสริมให้เด็กรู้สึกถึงพลังในการลงมือทำ และความรับผิดชอบร่วมต่อโลก7 อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงทางสังคม เช่น วิกฤตเศรษฐกิจหรือความไม่มั่นคงทางการเมือง อาจทำให้กระบวนการส่งต่อคุณค่าเหล่านี้สะดุดลง เมื่อผู้คนต้องเผชิญความไม่แน่นอน เป็นธรรมดาที่จะหันไปให้ความสำคัญกับการเอาตัวรอดในระยะสั้น มากกว่าความยั่งยืนในระยะยาว
ดังนั้น การรักษาพฤติกรรมที่ยั่งยืนให้ดำรงอยู่ต่อไป จึงต้องอาศัยสิ่งที่เรียกว่า “การฟื้นตัวทางสังคม” (Social resilience) หรือความสามารถของสังคมในการคงไว้ซึ่งคุณค่าหลัก แม้ในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและการเปลี่ยนแปลง
แม้ผู้คนจำนวนมากจะให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม แต่มีปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “ความเหนื่อยล้าจากความยั่งยืน” (Sustainability fatigue) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อผู้คนรู้สึกกดดันให้ต้องลงมือทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อโลกอยู่ตลอดเวลา แต่กลับไม่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน8 ภาวะนี้พบได้เด่นชัดในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่ต้องเผชิญทั้งความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ และความวิตกกังวลต่อสภาพภูมิอากาศ เมื่อต้องพยายามรักษาพฤติกรรมที่ยั่งยืนท่ามกลางความไม่แน่นอนเหล่านี้ จึงอาจเกิดความรู้สึกหมดแรงหรือท้อแท้ได้ง่าย
การทำให้พฤติกรรมที่ยั่งยืนดำรงอยู่ได้ในระยะยาว จำเป็นต้องมีความหวัง มีข้อมูลสะท้อนผลลัพธ์ และความก้าวหน้าที่มองเห็นได้จริง เมื่อผู้คนได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้ เช่น แม่น้ำที่สะอาดขึ้น หรือเมืองที่เขียวขึ้น สิ่งเหล่านี้จะช่วยต่ออายุแรงบันดาลใจ และฟื้นความเชื่อมั่นว่า การกระทำเล็ก ๆ ของแต่ละคนมีความหมายต่อโลกจริงๆ
การรักษาพฤติกรรมที่ยั่งยืนให้ดำรงอยู่ได้ในระยะยาวยังขึ้นอยู่กับระบบที่ช่วยให้การเลือกอย่างมีความรับผิดชอบเป็นเรื่องง่าย และให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า9 การเปลี่ยนแปลงในระดับประชากรเกิดขึ้นได้จริงก็ต่อเมื่อสถาบันต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล โรงเรียน หรือองค์กรท้องถิ่น ได้บูรณาการแนวคิดเรื่องความยั่งยืนเข้าไว้ในชีวิตประจำวันของผู้คน เช่น การให้สิทธิประโยชน์ด้านที่อยู่อาศัยประหยัดพลังงาน หรือระบบจักรยานสาธารณะให้ใช้ งานวิจัยทางสังคมระบุว่า “ความยั่งยืนของพฤติกรรม” เกิดขึ้นได้ต่อเมื่อมี “ความยั่งยืนของโครงสร้าง” รองรับอยู่เบื้องหลัง เพราะบุคคลไม่อาจแบกรับภาระการเปลี่ยนแปลงไว้ได้เพียงลำพัง
เมื่อการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนกลายเป็นสิ่งที่ราคาถูกกว่า สะดวกกว่า และได้รับการสนับสนุนจากสังคมโดยรอบ พฤติกรรมเหล่านั้นก็จะคงอยู่ต่อเนื่อง และส่งต่อจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่งอย่างเป็นธรรมชาติ
“กรีนเพื่อทุกคน” เป็นแนวคิดการสร้างความยั่งยืนที่ทุกคนสามารถเข้าถึงและมีส่วนร่วมได้จริง โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพราะโลกสีเขียวจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกคนมีโอกาส “ใช้ชีวิตแบบกรีน” – การดำเนินชีวิตที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด -- ร่วมกัน
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมมักเกิดขึ้นแตกต่างกันไปตามชนชั้นและพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ ครอบครัวที่มีฐานะดีกว่าย่อมสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้ง่ายกว่า ขณะที่กลุ่มรายได้น้อยมักต้องให้ความสำคัญกับการเอาชีวิตรอดในแต่ละวันมากกว่าการเลือกทางที่ยั่งยืน
ความจริงที่ขำไม่ออกก็คือ คนกลุ่มที่สร้างมลพิษน้อยที่สุด กลับเป็นกลุ่มที่ไม่สามารถใช้ชีวิตแบบ “กรีน” ได้ตามต้องการ
รายงานของธนาคารโลกปี 202410 ระบุว่า “การบริโภคอย่างยั่งยืน” ยังเป็นเรื่องที่เกินเอื้อมสำหรับผู้คนส่วนใหญ่ในประเทศรายได้ต่ำและปานกลาง ขณะเดียวกัน ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนในประเทศพัฒนาแล้วก็มักมีราคาสูงเกินกว่าที่คนทั่วไปจะเข้าถึงได้
หากเราต้องการให้ความยั่งยืนเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและแท้จริง แนวทางนั้นจำเป็นต้อง “ครอบคลุมทุกคน” ไม่ใช่แค่กลุ่มคนบางส่วนของสังคม นโยบายที่ลดความเหลื่อมล้ำ และลดช่องว่างระหว่างผู้คนในสังคมเช่น การขนส่งสาธารณะราคาย่อมเยา หรือการเข้าถึงพลังงานอย่างเท่าเทียม ไม่เพียงเป็นนโยบายด้านสังคมหรือเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นกลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อมที่ช่วยให้พฤติกรรมยั่งยืนเกิดขึ้นอย่างแพร่หลายได้
พฤติกรรมที่ยั่งยืนจะเกิดขึ้นจริง และสามารถยั่งยืนอยู่ได้ก็ต่อเมื่อมันกลายเป็นบรรทัดฐานทางสังคม แนวโน้มทางประชากร และคุณค่าร่วมทางวัฒนธรรมที่ได้รับการสนับสนุนจากระบบที่เป็นธรรม11
“ความยั่งยืน” จึงไม่ได้หมายถึงเพียงการปกป้องสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการสร้างสังคมที่ผู้คนสามารถมี คุณภาพชีวิตที่ดี ควบคู่ไปกับการดูแลโลกอย่างรับผิดชอบ เมื่อการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนกลายเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุด เป็นธรรมชาติที่สุด และได้รับการออกแบบให้เอื้อต่อทุกคน พฤติกรรมเหล่านี้ก็จะดำรงอยู่ต่อไป ไม่ใช่เพราะถูกบังคับให้ทำ แต่เพราะมันได้กลายเป็น “วิถีชีวิตที่สมเหตุสมผลที่สุด” ของมนุษย์ในยุคนี้แล้ว
เอกสารอ้างอิง
