The Prachakorn

บ้านไม่ใช่ฝัน: Social Housing กับคำถามใหญ่ของรัฐไทย


พิไลรัตน์ ศรีวิเชียรอำไพ

31 ธันวาคม 2568
9



“ประเทศไทย แม้จะมีความพยายามในนามของโครงการ “บ้านเอื้ออาทร” หรือ “บ้านประชารัฐ” แต่ในเชิงโครงสร้าง ไทยยังขาดระบบ Social Housing ที่มั่นคงและต่อเนื่อง”

บทนำ

ในบริบทของหลายประเทศที่มีรัฐสวัสดิการเข้มแข็ง “บ้าน” ไม่ได้ถูกนิยามเพียงในฐานะ “สินค้า” ที่ขึ้นอยู่กับกลไกตลาดหรือกำลังซื้อของปัจเจก หากแต่ถูกมองว่าเป็น “สิทธิพื้นฐาน” ที่รัฐมีหน้าที่จัดสรรให้กับประชาชนอย่างเสมอภาค แนวคิดเช่นนี้ได้กลายเป็นรากฐานของระบบที่อยู่อาศัยเพื่อสังคม (Social Housing) คำว่า Social Housing ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำด้านที่อยู่อาศัยและสร้างโอกาสในการดำรงชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน เมื่อหันกลับมามองประเทศไทย คำถามสำคัญที่ตามมา ‘ประชากรหรือคนกลุ่มใดคือ ผู้ที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังในสิทธิขั้นพื้นฐานของการมีที่อยู่อาศัย?’ แม้รัฐไทยจะมีโครงการที่อยู่อาศัยภายใต้ชื่อเชิงสัญลักษณ์ เช่น บ้านประชารัฐ หรือบ้านเอื้ออาทร แต่ในเชิงโครงสร้าง กลับพบว่าการเข้าถึงที่อยู่อาศัยของกลุ่มคนจนเมือง แรงงาน และกลุ่มเปราะบางยังคงเผชิญกับข้อจำกัดหลายประการ ทั้งในมิติของนโยบายสาธารณะที่ไม่ตอบโจทย์เชิงคุณภาพและข้อจำกัดวิสัยทัศน์ด้านการวางแผนระยะยาวจากรัฐ ตัวอย่างเช่น ข้อจำกัดเชิงวิสัยทัศน์การเมือง การออกแบบโครงการมักผูกพันกับวาระการเมืองระยะสั้น เพื่อสร้างคะแนนนิยม มากกว่าการตั้งอยู่บนฐานยุทธศาสตร์การเคหะแห่งชาติที่ต่อเนื่องและข้ามรัฐบาล หรือ ปัญหาการบริหารจัดการเชิงโครงสร้าง คือ รัฐขาดวิสัยทัศน์ด้านการบริหารจัดการหลังโครงการสร้างเสร็จ เช่น การบำรุงรักษาโครงการ การสร้างความเป็นเจ้าของของผู้อยู่อาศัย และการป้องกันไม่ให้พื้นที่กลายเป็น “ชุมชนเปราะบาง” ในระยะยาว ภาพสะท้อนที่ขอหยิบยกมาคือ แฟลตดินแดง ในกรุงเทพฯ ทว่ารัฐเคยมีโครงการแฟลตเพื่อรองรับประชาชนรายได้น้อยมาตั้งแต่ทศวรรษ 2500–2510 แต่หลังจากสร้างแล้ว การบริหารจัดการต่อเนื่องกลับถูกปล่อยปละละเลย ส่งผลให้ระบบบำรุงรักษาอาคารเสื่อมโทรม เช่น น้ำรั่ว ไฟฟ้าเก่า ระบบท่อประปาไม่ได้รับการซ่อมบำรุง อีกทั้งไม่มีนโยบายส่งเสริมชุมชนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ ส่งผลให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกว่า    “ที่แห่งนี้ไม่ใช่บ้านของตัวเอง” เมื่อกาลเวลาผ่านไปแฟลตหลายตึกเริ่มเสื่อมโทรม จนถูกตราว่าเป็นพื้นที่สลัมกลางเมืองกรุง และรัฐต้องแก้ปัญหาที่ปลายเหตุด้วยการใช้งบประมาณก้อนใหญ่ฟื้นฟูแฟลตใหม่ ดั่งจะเห็นได้จาก ‘โครงการแฟลตดินแดงเฟสใหม่’ เป็นต้น 

นอกจากนี้การที่รัฐยังคงยึดติดกับกรอบคิดที่มอง “บ้าน” เป็นสินทรัพย์ทางเศรษฐกิจหรืออสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าเชิงตลาดมากกว่าที่จะมองในฐานะ “ทรัพยากรสาธารณะ” หรือ “สิทธิของพลเมือง” ได้ส่งผลให้โครงการที่อยู่อาศัยเพื่อสังคมในไทยยังไม่สามารถทำหน้าที่ทางสังคมได้อย่างแท้จริง ทว่าในประเทศยุโรปและรัฐสวัสดิการอื่น ๆ รัฐบาลมักมีบทบาทเชิงรุกในการจัดสร้างและบริหารโครงการ Social Housing โดยใช้งบประมาณรัฐเพื่อสนับสนุนให้ประชาชนมี “สิทธิด้านที่อยู่อาศัย” ที่มีความมั่นคง โดยไม่ต้องหวาดกลัวการถูกไล่ที่ การกำหนดอัตราค่าเช่าที่เป็นธรรม และการเข้าถึงคุณภาพชีวิตในระดับที่เหมาะสม โครงการเหล่านี้มักตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เชื่อมต่อกับระบบสาธารณูปโภคมีโครงสร้างพื้นฐานรองรับการใช้ชีวิตและมีเป้าหมายเพื่อลดช่องว่างทางชนชั้นและเศรษฐกิจ ในทางตรงกันข้ามนั้นความพยายามของประเทศไทยผ่านโครงการบ้านเอื้ออาทรหรือบ้านประชารัฐ แม้จะเป็นจุดเริ่มต้นในทิศทางที่ดี แต่ในเชิงปฏิบัติกลับสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น การเลือกทำเลที่ไม่เชื่อมโยงกับระบบขนส่งสาธารณะ ขาดสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน และภาระหนี้สินที่ยังตกอยู่กับผู้มีรายได้น้อย ซึ่งสะท้อนถึงการผลักภาระจากรัฐสู่ประชาชน คำถามสำคัญจึงอยู่ที่ว่า รัฐไทยจะสามารถปรับกรอบคิดและนโยบายเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยอย่างไร เพื่อให้ “บ้าน” กลายเป็นสิทธิพื้นฐานที่ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ไม่ใช่เพียงกลไกตลาดที่เอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มทุน หรือชนชั้นนำในระบบเศรษฐกิจ 

Social Housing กลับกลายเป็นการถมช่องว่างของสิทธิในที่อยู่อาศัย เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? แนวคิด “ที่อยู่อาศัยเพื่อสังคม (Social Housing)” หมายถึง ระบบการจัดสรรที่อยู่อาศัยที่รัฐหรือองค์กรสาธารณะมีบทบาทหลักในการผลิต จัดการ หรืออุดหนุน เพื่อให้ประชากรทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบางสามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพในราคาที่สอดคล้องกับศักยภาพของตนหรือครัวเรือนได้อย่างเป็นธรรม ทว่าบทเรียนจากต่างประเทศกับการออกแบบระบบที่อยู่อาศัยอย่างครอบคลุม ฉายภาพให้เห็นรูปธรรมว่า รัฐสวัสดิการคือ การเข้าถึง “ที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม” ถือเป็นหนึ่งในสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานและเป็นองค์ประกอบสำคัญของคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะในสังคมเมืองที่ความเหลื่อมล้ำด้านที่ดินและอสังหาริมทรัพย์กำลังขยายตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ 

แนวคิดดังกล่าวตั้งอยู่บนฐานว่าด้วยเรื่องของ “สิทธิในที่อยู่อาศัย” (Right to Housing) ซึ่งถูกมองว่า การมีบ้านหรือที่อยู่อาศัยมิใช่เพียงปัจจัย 4 ของปัจเจกบุคคลเพียงเท่านั้น หากแต่เป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่รัฐมีหน้าที่คุ้มครองและสร้างเงื่อนไขให้เกิดขึ้นจริงในสังคมนั้น ๆ การจัดให้มี Social Housing จึงไม่ใช่เพียงนโยบายด้านอสังหาริมทรัพย์หรือการลดต้นทุนชีวิตของประชากร แต่ยังสะท้อนการจัดสรรทรัพยากรอย่างเท่าเทียม และการสร้าง “พื้นที่ของความเป็นพลเมือง” ที่ประชากรทุกคนสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรี กล่าวได้ว่า Social Housing เป็นกลไกทางสังคมที่ทำหน้าที่เยียวยาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและพื้นที่ความเป็นเมือง อีกทั้งเป็นเครื่องมือของรัฐสวัสดิการในการรับประกันสิทธิพื้นฐาน สะท้อนความหมายเชิงสัญลักษณ์ของการยืนยันว่า “บ้าน” จะเป็นพื้นที่ของชีวิต มิใช่เป็นเพียงสินค้าในตลาดเสรี 

“สิทธิในที่อยู่อาศัย” ท่ามกลางความฝันที่ยังเอื้อมไม่ถึงของสังคมไทย ที่อยู่อาศัยเป็นหนึ่งในปัจจัยพื้นฐานของการดำรงชีวิตในสังคมมนุษย์ ทว่าบริบทสังคมไทย การมี “บ้านเป็นของตนเอง” กลับกลายเป็นสิ่งที่คนจำนวนไม่น้อยยังไม่สามารถเข้าถึงได้ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยที่แม้จะมีความต้องการในการมีบ้านอย่างแท้จริง แต่กลับถูกกีดกันโดยโครงสร้างเศรษฐกิจที่ไม่เท่าเทียม การมีรายได้ที่จำกัด ต้นทุนชีวิตที่ต่างกัน และราคาที่อยู่อาศัยที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้ส่งผลให้กว่า 5.8 ล้านครัวเรือนไทยไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย ขณะที่อีกเกือบ 3.6 ล้านครัวเรือนเป็นครัวเรือนที่มีรายได้น้อยมาก กล่าวคือ จากผลการสำรวจโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2558 ได้ระบุข้อมูลสภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน พบว่า จากจำนวนครัวเรือนในประเทศไทย 21.32 ล้านครัวเรือน มีเพียงครัวเรือนที่มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย 15.45 ล้านครัวเรือน และ ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยอีก 5.87 ล้านครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 27.5 ของจำนวนครัวเรือนทั้งประเทศของไทย1 โดยข้อมูลเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจสะท้อนความไม่สมดุลอย่างชัดเจน เช่น ราคาอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5.4% ต่อปี ขณะที่รายได้เฉลี่ยประชากรเพิ่มขึ้นเพียง 1.4% ต่อปี ตัวอย่างเช่น หากบุคคลมีรายได้เฉลี่ย 20,000 บาท/เดือน ในปีแรก และคำนวณเพิ่ม 1.4% ต่อปี ดังนั้นใน 5 ปี รายได้เพิ่มขึ้นจาก 20,000 เป็น 21,143 บาท หรือแค่ประมาณ 1,143 บาท เท่านั้น ในขณะที่หากราคาอสังหาริมทรัพย์ เพิ่ม 5.4% ต่อปี สมมติบ้านมีราคา 2,000,000 บาท จะเพิ่มเป็น 2,595,000 บาท ภายใน 5 ปี คือ ราคาบ้านเพิ่มขึ้น 595,000 บาท จากเดิม  ซึ่งจุดนี้สะท้อนความเหลื่อมล้ำอย่างชัดเจน เพราะรายได้โตช้ากว่าราคาที่อยู่อาศัยหลายเท่า ในปัจจุบัน การมีบ้านเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตนได้กลายเป็นเป้าหมายที่ยากจะเป็นจริงสำหรับผู้มีรายได้น้อยกว่า 30,000 บาทต่อเดือน หากพิจารณาตัวอย่างการซื้อบ้านในระดับราคา 4 ล้านบาท ความเป็นไปได้ที่จะได้รับอนุมัติสินเชื่อนั้นแทบหมดหวังและฝันโดยสิ้นเชิง สอดคล้องกับข้อมูลจากเครดิตบูโรที่เปิดเผยว่า ในรอบปีที่ผ่านมา อัตราการขอสินเชื่อประเภทที่อยู่อาศัยที่ไม่ผ่านการอนุมัติเพิ่มสูงถึง 80% โดยกลุ่มผู้มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อเดือน ถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูงและเข้าถึงสินเชื่อประเภทที่อยู่อาศัยได้ยากเป็นพิเศษ ด้วยว่าภาวะการชะลอตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ทำให้มีที่อยู่อาศัยทั้งบ้านและคอนโดมิเนียมคงเหลือในตลาดรวมมูลค่ามากกว่า 1.57 ล้านล้านบาท2 ในมุมมองเชิงสังคมวิทยา “การทำให้กลายเป็นอื่น (the Others)” ได้สะท้อนอำนาจและโครงสร้างทางสังคม ตามแนวคิดนักสังคมวิทยา Pierre Bourdieu กล่าวถึง การสร้าง “คนอื่น” เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างทุนเชิงสัญลักษณ์ (symbolic capital) ที่กลุ่มชนชั้นกลางใช้เพื่อสร้างและรักษาอำนาจทางวัฒนธรรม เช่น การกำหนดรสนิยมของตนให้เป็น “รสนิยมที่ดี” และผลักรสนิยมของชนชั้นล่างให้กลายเป็นผู้ “ไร้วัฒนธรรม” ขณะที่ Michel Foucault อธิบายกระบวนการเดียวกันผ่านอำนาจเชิงวาทกรรม (discursive power) ของสถาบันต่าง ๆ เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล และรัฐ ซึ่งนิยามว่าใครคือ “ปกติ” และใครคือ “เบี่ยงเบน” ภายใต้กรอบแนวคิดดังกล่าวจึงสะท้อนว่า ระบบสินเชื่อที่ออกแบบเพื่อรองรับเฉพาะผู้มีรายได้มั่นคง กลายเป็นกลไกที่ผลักแรงงานนอกระบบให้ “กลายเป็นอื่น” หรือ “ผู้ไร้ตัวตน” ในสายตาของสถาบันการเงินและนโยบายรัฐ ขณะเดียวกันรัฐกลับใช้งบประมาณนับพันล้านบาทไปกับมาตรการลดหย่อนภาษีเพื่อกระตุ้นการซื้อบ้าน นโยบายเหล่านี้ล้วนเอื้อประโยชน์ให้เฉพาะกลุ่มชนชั้นกลางขึ้นไป    ผู้ซึ่งมีศักยภาพในการผ่อนชำระหนี้ระยะยาว และทิ้งให้ประชากรอีกส่วนผู้มีรายได้น้อยหลุดออกนอกระบบสวัสดิการและนโยบายที่อยู่อาศัยที่พึงจะสร้างความเท่าเทียม ปรากฎการณ์เช่นนี้คือหนึ่งตัวอย่างของกลไกที่ตอกย้ำโครงสร้างความเหลื่อมล้ำในเชิงสถาบันอย่างเป็นระบบ 

Social Housing เป็นการจัดการที่อยู่อาศัยในฐานะ “สิทธิของพลเมือง” ไม่ใช่ “สินทรัพย์” ที่ต้องแลกมาด้วยหนี้สินยาวนานหรือการเก็งกำไร การลดมายาคติของ “บ้านเช่าคือความล้มเหลว” กลับกลายเป็นประเด็นสำคัญ เพราะในความเป็นจริงการมุ่งสู่การเป็นเจ้าของในบริบทที่ไม่เอื้อต่อการแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่ไม่สมดุลกับค่าครองชีพนั้น มักนำไปสู่หนี้เสียอันเป็นความเปราะบางของชีวิต ดร.บุญเลิศ วิเศษปรีชา เสนอว่า สังคมไทยควรทบทวนค่านิยมการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย และหันมาสนับสนุนการเช่าระยะยาวในราคาย่อมเยา ซึ่งรัฐสามารถกำกับควบคุมคุณภาพและราคาเพื่อให้ประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางสามารถอยู่อาศัยได้อย่างมั่นคงโดยไม่ตกเป็นเหยื่อของตลาด จากประเด็นนโยบายรัฐที่ยังจำกัดและการตอบสนองที่ยังไม่ครอบคลุม แม้จะมีโครงการอย่างบ้านเอื้ออาทร บ้านประชารัฐ หรือ “บ้านเพื่อคนไทย” ซึ่งประกาศโดยรัฐบาลชุดปัจจุบันในปลายปี 2567 โดยมีเป้าหมายช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและคนรุ่นใหม่ แต่ในทางปฏิบัติพบว่า หลายโครงการยังสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างเดิม เช่น ทำเลที่ตั้งห่างไกลจากระบบขนส่งสาธารณะ การเลือกใช้ที่ดินของรัฐที่ไม่ได้เชื่อมโยงกับโครงสร้างเมืองอย่างแท้จริง และเงื่อนไขด้านรายได้ที่ยังไม่ตอบโจทย์แรงงานนอกระบบที่ไม่มีรายได้ประจำ นอกจากนี้รูปแบบการสนับสนุนของรัฐมักเน้น “การเป็นเจ้าของ” ผ่านระบบสินเชื่อ มากกว่าการจัดให้มี “ที่อยู่อาศัยเพื่อการเช่า” ที่ยืดหยุ่นและเข้าถึงได้สำหรับกลุ่มคนที่ไม่มีรายได้ประจำจำนวนมากในระบบเศรษฐกิจไทย3


รูป 2 อาคารชุด บ้านเอื้ออาทรเทพารักษ์ 1 เมืองสมุทรปราการ6  Realty One Estate (Thailand) Co.,Ltd.
สืบค้นจาก https://short-link.me/15SXx

เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2567 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แถลงนโยบาย “โครงการบ้านเพื่อคนไทย” ซึ่งรัฐบาลมีแผนดำเนินการในปี พ.ศ. 2568 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มคนรุ่นใหม่สามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัยในระดับราคาที่เหมาะสม โครงการดังกล่าวกำหนดจัดสร้างบ้านพักอาศัยและอาคารชุดบนที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย จำนวน 4 แห่ง ได้แก่ พื้นที่บางซื่อ พื้นที่บริเวณสถานีรถไฟเชียงใหม่ พื้นที่เชียงราก และพื้นที่ธนบุรี ทั้งนี้ผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการดังกล่าวฯ จะต้องมีรายได้ไม่เกินเดือนละ 50,000 บาท โดยไม่ต้องวางเงินดาวน์และสามารถผ่อนชำระในอัตราเริ่มต้นเดือนละประมาณ 4,000 บาท เป็นระยะเวลา 30–50 ปี พร้อมสิทธิ์การอยู่อาศัยสูงสุด 99 ปี โดยโครงการดังกล่าวฯ ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ รวมทั้งการจัดสรรสินเชื่อที่อยู่อาศัยอัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 2.5 เพื่อเพิ่มโอกาสให้ประชาชนสามารถเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้จริง เพื่อช่วยลดความเสี่ยงด้านสภาพคล่องทางการเงินของผู้กู้ เพราะในอดีตโครงการที่อยู่อาศัยเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาหนี้เสียในระบบสินเชื่อที่อยู่อาศัยของรัฐ ทั้งนี้แนวทางของ “โครงการบ้านเพื่อคนไทย” นั้นรัฐออกแบบให้เป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหาค่าครองชีพและการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชน ในแง่มุมมองทางสังคมวิทยา นโยบาย “บ้านเพื่อคนไทย” จึงมิได้เป็นเพียงโครงการก่อสร้างเชิงกายภาพเพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่ต่อรองเชิงสัญลักษณ์ระหว่างรัฐ ตลาด และประชาชน ในการกำหนดนิยามของ “ความมั่นคงในชีวิตเมือง” (Urban Security) ที่ประชาชนควรพึงจะมี โดยเฉพาะในยุคสมัยใหม่ซึ่งที่อยู่อาศัยกลายเป็นทุนทางสังคมอันสะท้อนภาพสถานะและความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้างอย่างเข้มข้น โครงการดังกล่าวฯ นี้อาจถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่รัฐพยายามสร้างความชอบธรรมใหม่ให้กับนโยบายสาธารณะผ่านการรับรองสิทธิขั้นพื้นฐานด้านที่อยู่อาศัยของพลเมือง 

ประการต่อมา โครงการที่อยู่อาศัยของภาครัฐจำเป็นต้องออกแบบระบบการผ่อนชำระหรือการเช่าที่มีความยืดหยุ่น เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพรายได้ของแรงงานในภาคส่วนต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่มีรายได้ที่ไม่แน่นอนและไม่ได้รับค่าตอบแทนในรูปแบบเงินเดือนประจำ ดังนั้นการกำหนดอัตราการผ่อนหรือค่าเช่าในระดับ 2,000–3,000 บาทต่อเดือนอย่างต่อเนื่องจึงอาจไม่สอดคล้องกับศักยภาพทางเศรษฐกิจของแรงงานกลุ่มดังกล่าว ในส่วนนี้ภาครัฐควรมีบทบาทเชิงรุกในการจัดสรรและพัฒนาระบบสวัสดิการด้านที่อยู่อาศัยในพื้นที่ที่อยู่ใกล้แหล่งแรงงาน เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยและแรงงานสามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัยได้อย่างเป็นธรรมและยั่งยืน แนวทางหนึ่งคือ การใช้ประโยชน์จากที่ดินของรัฐ หรือการสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนผ่านกลไกสนับสนุน เช่น มาตรการลดหย่อนภาษี การอุดหนุนค่าสาธารณูปโภค การปรับปรุงและพัฒนาอาคารร้างให้สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ในรูปแบบห้องเช่าที่มีราคาย่อมเยาเพื่อให้ต้นทุนด้านที่อยู่อาศัยลดลงและสอดคล้องกับกำลังจ่ายของแรงงานผู้มีรายได้น้อย ทั้งนี้จากการขยายตัวของเมืองในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะในพื้นที่อุตสาหกรรมและเมืองท่องเที่ยว มักไม่ได้เอื้อต่อการอยู่อาศัยของแรงงานและกลุ่มผู้มีรายได้น้อย เนื่องจากราคาที่ดินปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาบ้านและค่าเช่าที่อยู่อาศัยเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ด้วยเหตุนี้ส่งผลให้ผู้มีรายได้น้อยจำเป็นต้องโยกย้ายถิ่นออกไปอยู่นอกเขตเมืองที่มีราคาที่ดินต่ำกว่า แต่กลับเผชิญกับต้นทุนแฝงจากการคมนาคมในระยะทางที่ไกลขึ้น เกิดค่าใช้จ่ายในการเดินทางเพิ่มขึ้น การใช้เวลาในการสัญจร และระยะเวลาพักผ่อนที่ลดลง ปัจจัยเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นที่ภาครัฐต้องมีนโยบายด้านที่อยู่อาศัยที่คำนึงถึงความเป็นธรรมทางพื้นที่ (spatial justice) และความเท่าเทียมในการเข้าถึงทรัพยากรเมืองด้วยเป็นสำคัญ4 ปรากฎการณ์นี้สะท้อนว่า ปัญหาที่อยู่อาศัยของแรงงานไม่ได้เป็นเพียงประเด็นทางเศรษฐกิจหรือโครงสร้างเมืองเพียงเท่านั้น หากแต่ยังสะท้อนพลวัตของ “อำนาจเชิงพื้นที่” ที่กำหนดว่าใครมีสิทธิ์อยู่ ณ พื้นที่ใดในเขตเมือง เสมือนการขับแรงงานออกไปสู่พื้นที่ชายขอบ ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นผลจากกลไกตลาด แต่ยังเป็นกระบวนการทางสังคมที่ทำให้กลุ่มแรงงานรายได้น้อย หรือนอกระบบ ต้องถูกผลักให้กลายเป็นอื่น (the others) ของเมืองยุคสังคมสมัยใหม่ การจำกัดการเข้าถึงที่อยู่อาศัยจึงเท่ากับการจำกัดสิทธิในการมี “ชีวิตเมือง” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสิทธิความเป็นพลเมืองอย่างแท้จริง ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่า การออกแบบนโยบายด้านที่อยู่อาศัยควรถูกมองในฐานะกระบวนการสร้างความเป็นธรรมทางสังคมและความเท่าเทียมเชิงวัฒนธรรมที่เปิดโอกาสให้แรงงานมีส่วนร่วมในพื้นที่ของเมืองในฐานะ “ผู้สร้างเมือง” มิใช่เป็น “แรงงานของเมือง” เพียงเท่านั้น

ประเทศไทย แม้จะมีความพยายามในนามของโครงการ “บ้านเอื้ออาทร” หรือ “บ้านประชารัฐ” แต่ในเชิงโครงสร้าง ไทยยังขาดระบบ Social Housing ที่มั่นคงและต่อเนื่อง จากตัวอย่างประเทศสวีเดนให้ความสำคัญกับการจัดสรรที่อยู่อาศัยอย่างยุติธรรมผ่านองค์กรเทศบาลท้องถิ่น โดยประชาชนสามารถเช่าที่อยู่อาศัยในอัตราที่รัฐควบคุม และมีการอุดหนุนโดยรัฐ โดยจุดเด่นของสวีเดนคือ การบูรณาการระบบคมนาคม พื้นที่สีเขียว และโครงสร้างพื้นฐานไว้ในแผนพัฒนาเมือง ส่วนสิงคโปร์ถือเป็นตัวแบบที่ประสบความสำเร็จสูงในด้านการจัดการที่อยู่อาศัย โดยกว่า 80% ของประชากรอาศัยอยู่ในแฟลต HDB (Housing & Development Board) ที่รัฐบาลสร้างและขายในราคาต่ำกว่าตลาด โดยเฉพาะสำหรับคู่แต่งงานใหม่ ครอบครัวที่มีรายได้น้อย หรือผู้สูงอายุ  รัฐยังมีการให้เงินอุดหนุนโดยตรงและพัฒนาพื้นที่อย่างครบวงจร ขณะที่เกาหลีใต้ ด้วยราคาที่อยู่อาศัยที่สูงขึ้นในกรุงโซล เกาหลีใต้จึงพัฒนาโครงการ “Public Rental Housing” สำหรับกลุ่มรายได้น้อย เช่น คนโสด ผู้สูงอายุ และครอบครัวใหม่ โดยโครงการ New Stay เป็นตัวอย่างของนโยบายที่ส่งเสริมการมีที่อยู่อาศัยในราคาที่เข้าถึงได้ พร้อมทั้งลดแรงกดดันจากตลาดเสรี 

นอกจากนี้หลายประเทศทั่วโลกได้ให้ความสำคัญกับนโยบายด้านที่อยู่อาศัยในฐานะ “กลไกเชิงโครงสร้าง” ที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต ความมั่นคงทางสังคม และการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น ประเทศสิงคโปร์ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูงในการใช้ “นโยบายที่อยู่อาศัยภาครัฐ” เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนการพัฒนาสังคม โดยประชากรประมาณร้อยละ 80 อาศัยอยู่ในโครงการเคหะของรัฐภายใต้การบริหารจัดการของหน่วยงานการเคหะแห่งชาติสิงคโปร์ ที่เรียกว่า Housing and Development Board: HDB ซึ่งนโยบายดังกล่าวมีลักษณะบูรณาการระหว่างภาครัฐและระบบการเงินทางสังคมผ่านความร่วมมือกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพกลาง หรือระบบประกันสังคมของสิงคโปร์ (Central Provident Fund: CPF) ซึ่งเป็นกลไกการออมภาคบังคับที่หักเงินเดือนของแรงงานร้อยละ 20 เข้ากองทุนส่วนบุคคล เพื่อให้ประชาชนสามารถนำเงินสะสมดังกล่าวไปใช้ในการกู้ซื้อที่อยู่อาศัยได้โดยตรง ระบบนี้ไม่เพียงสร้างความมั่นคงทางที่อยู่อาศัย แต่ยังส่งเสริมมิติที่เป็น “จิตสำนึกแห่งความเป็นเจ้าของ” และความรับผิดชอบต่อทรัพย์สินของประชาชน อันเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนแสดงถึงพื้นฐานสำคัญของความมั่นคงทางสังคมและการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน

ในขณะที่ประเทศมาเลเซียเลือกใช้ “นโยบายแบบรัฐร่วมเอกชน (Public–Private Partnership)” ในการจัดการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้ที่มีรายได้น้อย โดยเปิดโอกาสให้ธนาคารพาณิชย์มีบทบาทในการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการก่อสร้างและการเข้าถึงที่อยู่อาศัยของประชาชน แนวทางนี้สะท้อนให้เห็นถึงการใช้กลไกตลาดควบคู่กับการแทรกแซงของรัฐ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสวัสดิการทางสังคม ส่วนประเทศฮ่องกงมุ่งเน้น “การฟื้นฟูพื้นที่เมือง (Urban Renewal) ควบคู่กับการจัดหาที่อยู่อาศัยให้เช่าในระยะยาว” เพื่อลดแรงกดดันจากราคาที่อยู่อาศัยที่สูงและความหนาแน่นของประชากรในเมืองใหญ่ ซึ่งสะท้อนมุมมองทางสังคมวิทยาในด้าน “สิทธิในการอยู่อาศัยในเมือง (Right to the City)” ที่ประชาชนทุกกลุ่มควรมีสิทธิเข้าถึงพื้นที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ สำหรับสหรัฐอเมริกานั้น รัฐบาลเน้นใช้ “ระบบการเงินและนโยบายสินเชื่อเพื่อสังคม (Social Credit Policy)” เป็นเครื่องมือสำคัญ โดยสนับสนุนให้ประชาชนสามารถกู้ซื้อบ้านได้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ5 ส่งผลให้การเป็นเจ้าของบ้านกลายเป็นส่วนหนึ่งของ “อัตลักษณ์ชนชั้นกลาง” และเป็นกลไกสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของครัวเรือน กล่าวได้ว่า ตัวอย่างจากประเทศต่าง ๆ แสดงให้เห็นว่า การจัดการที่อยู่อาศัยมิใช่เพียงการตอบสนองความต้องการพื้นฐานของมนุษย์เพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นนโยบายทางสังคมที่มีอิทธิพลต่อโครงสร้างชนชั้น คุณภาพชีวิต และความเท่าเทียมทางสังคม ซึ่งรัฐที่ประสบความสำเร็จมักมองว่า “ที่อยู่อาศัย” เป็นในฐานะ “สินทรัพย์สาธารณะ มากกว่าสินค้าทางการตลาด” ทั้งยังออกแบบกลไกเชิงสถาบันเพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงได้อย่างเป็นธรรม ทว่าเมื่อมองกลับสู่บริบทประเทศไทย เมื่อบ้านยังไม่ใช่ “สิทธิ” แต่เป็น “ภาระ” ส่งผลให้นโยบายโครงการบ้านเอื้ออาทรหรือบ้านประชารัฐของไทยที่แม้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่กลับเผชิญปัญหาทางกายภาพ เศรษฐกิจ และสังคม เช่น สถานที่ห่างไกลเมือง การเดินทางไม่สะดวก หรือการที่ผู้มีรายได้น้อยต้องกู้หนี้เพื่อซื้อบ้าน สะท้อนถึงคุณภาพชีวิตที่ไม่ได้รับการยกระดับอย่างแท้จริง 

รูป 1 Social Housing หรือที่อยู่อาศัยเพื่อสังคม การจัดการของหน่วยงานการเคหะแห่งชาติสิงคโปร์ (Housing and Development Board : HDB)5
สืบค้นจาก https://urbancreature.co/public-housing/

คำถามใหญ่สำหรับรัฐไทย คือ การจัดการกับความต้องการที่อยู่อาศัยของกลุ่มคนจนเมืองที่ยังมีอีกจำนวนมากนั้น “ทำอย่างไรให้การมีบ้าน ไม่ใช่แค่ฝันอีกต่อไป” แต่เป็น “สิทธิ” ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้จริง ซึ่งรัฐควรปรับนโยบายจากการเน้นการขายบ้านเป็นหลัก เปลี่ยนไปสู่การสนับสนุนที่อยู่อาศัยในรูปแบบบ้านเช่าที่มั่นคง มีความหลากหลายของรูปแบบบ้านและส่งเสริมบทบาทของภาคเอกชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการพัฒนาบูรณาการร่วมกันจากทุกภาคส่วน เพื่อสนับสนุนช่วยเหลือสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้แก่พลเมืองของรัฐ อีกทั้งรัฐสามารถส่งเสริมการเข้าถึงที่อยู่อาศัยของประชาชนได้ผ่านการดำเนินนโยบายเชิงรุก โดยเริ่มจากการบริหารจัดการทรัพยากรที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพ และการจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนการลดต้นทุนการก่อสร้างและราคาจำหน่ายที่อยู่อาศัยให้เหมาะสมกับกำลังซื้อของประชาชนควบคู่กันไป อีกทั้งภาครัฐควรสร้างกลไกความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ เช่น ภาคเอกชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้เกิดการบูรณาการในการพัฒนาที่อยู่อาศัย รวมถึงออกมาตรการส่งเสริม เช่น สิทธิประโยชน์ทางภาษีหรือการสนับสนุนทางการเงิน เพื่อจูงใจให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการผลิตที่อยู่อาศัยในราคาย่อมเยา ทั้งในลักษณะเพื่อการซื้อและเพื่อการเช่า ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเป็นไปได้ของโอกาสที่ประชาชนสามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพและสอดคล้องกับมาตรฐานการดำรงชีวิตได้มากยิ่งขึ้น5

นอกจากนี้ Social Housing ยังควรเป็นกลไกที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม โดยการสร้างชุมชนหลากหลาย ขจัดการแบ่งแยกกลุ่มคนจากระบบเศรษฐกิจและสังคมเมืองใหญ่ ขณะเดียวกันรัฐบาลจำต้องให้ความสำคัญกับการวางผังเมือง การกระจายพื้นที่เศรษฐกิจ การพัฒนาระบบขนส่งและบริการสาธารณะควบคู่ไปพร้อมกัน เพื่อให้คำว่า “บ้านไม่ใช่ฝันอีกต่อไปสำหรับคนจนเมือง” บ้านจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อรัฐไทยมีนโยบายที่อยู่อาศัยเพื่อสังคมที่ตอบโจทย์ความเป็นจริงของชีวิตคนเมือง ตัดวงจรความเชื่อเดิมว่า “บ้าน คือ การลงทุนหรือเป็นของชิ้นใหญ่ที่คนรายได้น้อยเข้าถึงไม่ได้” และการสร้างนโยบายที่เปิดโอกาสให้ทุกคนมีที่อยู่อาศัยที่มั่นคงในราคาที่เหมาะสม พร้อมกับการพัฒนาสังคมเมือง ดังนั้นทางเลือกของรัฐไทยกับการก้าวข้ามกรอบคิดเก่าเป็นความท้าทายที่อยู่บนฐานคิดการเปลี่ยนผ่านจากการมอง “บ้าน” เป็นเพียงเครื่องมือทางเศรษฐกิจ ไปสู่การออกแบบที่อยู่อาศัยในฐานะ “โครงสร้างพื้นฐานเพื่อความเป็นธรรม” หากรัฐสามารถพัฒนานโยบายแบบผสมผสาน เช่น การสนับสนุนระบบเช่าระยะยาวในพื้นที่เมือง การร่วมมือกับเอกชนปรับปรุงตึกร้าง การใช้กลไกลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ให้เช่าราคาย่อมเยา หรือการจัดสรรที่ดินของรัฐในเขตเศรษฐกิจเพื่อสร้างบ้านเช่าสำหรับคนจนเมือง ย่อมเป็นก้าวสำคัญของการวางรากฐานรัฐสวัสดิการที่ยั่งยืนสู่อนาคตสังคมไทย 


เอกสารอ้างอิง

  1. สุขโข, อ. (2024, 1 กรกฎาคม). Collective Housing ทางเลือกในการมี “บ้าน”. The Active. https://theactive.thaipbs.or.th/data/collective-housing-model?utm_source=chatgpt.com
  2. Thairath Money. (2568, 17 มกราคม). จากโครงการบ้านเพื่อคนไทย ทำไมการจะมี “บ้าน” สักหลังของคนไทยจึงอาจเป็นเรื่องแค่ “ฝัน”. LINE TODAY. https://today.line.me/th/v3/article/kE3zgp2  
  3. บุศย์สิรินทร์ ยิ่งเกียรติกุล. (2022, 2 มีนาคม). รู้จักแนวคิด “Social Housing” ที่อยู่อาศัยเพื่อสังคม ไม่ใช่เก็งกำไรช่วยลดเหลื่อมล้ำ. The ACTIVE. https://theactive.thaipbs.or.th/news/welfare-20220302
  4. ชานันท์ ยอดหงษ์ และ ชญาดา จิรกิตติถาวร. (2568, 31 กรกฎาคม). ‘บ้านเพื่อคนไทย’ แก้ไขปัญหาคนจนเมืองได้จริงหรือไม่. POLICY WATCH จับตาอนาคตประเทศไทย. https://policywatch.thaipbs.or.th/article/economy-180
  5. โยษิตา สินบัว. (2025, มกราคม 10). ทำอย่างไรให้ ‘บ้าน’ ไม่ใช่ ‘ฝัน’ ที่ไกลเกินเอื้อม คุยเรื่องนโยบาย Public Housing กับ ‘รศ. ดร.บุษรา โพวาทอง’. Urban Creature. https://urbancreature.co/public-housing/ 
  6. มน ศตณภัค. (2568, 5 กุมภาพันธ์). ขายถูก อาคารชุด บ้านเอื้ออาทรเทพารักษ์ 1 เมือง สมุทรปราการ. Realty One Estate (Thailand) Co.,Ltd. https://short-link.me/15SXx

 


Tags :

CONTRIBUTOR

Related Posts
Copyright © 2020 สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม 73170
โทรศัพท์ 02-441-0201-4 โทรสาร 02-441-9333
Webmaster: piyawat.saw@mahidol.ac.th