สถานการณ์ประชากรไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้น จะเห็นได้ว่า ประชากรไทยเพิ่มจำนวนขึ้นมากที่สุดในปี 2562 โดยมีประมาณ 66.6 ล้านคน จากนั้นจำนวนประชากรค่อยๆ ลดลง โดยในปี 2563 ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยน เป็นปีที่มีสำคัญในทางประชากรศาสตร์ โดยเริ่มมีอัตราการเพิ่ม/ลดประชากรที่เป็นลบ เป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษนี้ ส่งผลให้จำนวนประชากรลดลงมาอยู่ที่ 66.2 ล้านคน จนกระทั่งในปี 2567 มีประชากรอยู่ที่ประมาณ 66.0 ล้านคน การเปลี่ยนแปลงประชากรนี้เกิดจากการเกิดที่ลดน้อยลง คนอายุยืนยาวขึ้น ส่งผลให้จำนวนผู้สูงอายุเพิ่มจำนวนขึ้น การเปลี่ยนผ่านนี้ เรียกได้ว่าภาวะประชากรลดลง (population decline) และการเป็นสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์แล้ว อันเนื่องมาจากมีผู้สูงอายุเกินกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด
ตาราง: ประชากรไทย ปี 2525, 2563, 2566 และ 2567 จำแนกตามกลุ่มวัย
| ปี | ประชากรรวม (ล้านคน) | ร้อยละ | ||
| 0-14 ปี (วัยเด็ก) |
15-59 ปี (วัยแรงงาน) |
60 ปีขึ้นไป (วัยสูงอายุ) |
||
| 2525 | 48.4 | 35.0 | 60.0 | 5.0 |
| 2563 | 66.6 | 16.5 | 65.0 | 18.5 |
| 2566 | 66.1 | 15.6 | 64.4 | 20.0 |
| 2567 | 66.0 | 15.1 | 64.7 | 20.2 |
ที่มา: สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย
ข้อมูลชี้ให้เห็นว่า สัดส่วนวัยแรงงานยังคงเป็นกลุ่มใหญ่ แต่สัดส่วนวัยสูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ อัตราส่วนการพึ่งพิงรวมเปลี่ยนทิศทาง โดยมีภาระการพึ่งพิงสูงวัยเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก การที่วัยแรงงานมีจำนวนลดลง (จากฐานเด็กที่หดตัว) ในขณะที่ต้องดูแลผู้สูงอายุมากขึ้น จึงเป็นวิกฤตเชิงโครงสร้าง ที่ประชากรกลุ่มนี้ต้องแบกรับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในระยะยาว
นอกจากนี้แล้ว สถานการณ์ประชากรวัยแรงงานของไทยกำลังเผชิญกับแรงกดดันจากหลากหลายกระแสที่เกิดขึ้นพร้อมกัน อาทิ ผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของปัญญาประดิษฐ์ (AI) รวมทั้งการที่สังคมไทยก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ แม้ว่ารัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความพยายามขยายอายุเกษียณ เพื่อรักษาให้กำลังแรงงานยังคงอยู่ในกำลังแรงงานเพื่อให้สามารถทำงานและมีรายได้ แต่ในขณะเดียวกันความก้าวหน้าของ AI ที่นำมาใช้ในการช่วยทำงาน ก็ทำให้ภาคการผลิตสามารถที่จะลดต้นทุนได้ และอาจจะเป็นตัวเร่งการเลิกจ้าง หรือเกษียณก่อนกำหนดนั่นเอง สิ่งเหล่านี้ นับได้ว่ามีความสลับซับซ้อนต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและสังคมไทย
การระบาดใหญ่ของโควิด-19 ได้ทำหน้าที่เป็น ตัวเร่ง (catalyst) การเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงและถาวรต่อตลาดแรงงานไทย:
การนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบอัตโนมัติ (automation) มาใช้ในภาคเอกชนหลังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้กลายเป็นแรงกดดันใหม่ที่ทับซ้อนกับปัญหาการหดตัวของวัยแรงงาน:
ปัจจุบันประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ (complete aged society) โดยในปี 2568 มีประชากรสูงอายุประมาณ 14.6 ล้านคน1 และกำลังจะเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด (super-aged society) ในไม่ช้า นำมาซึ่งความท้าทายด้านความยั่งยืนของระบบสวัสดิการและเงินบำนาญของประเทศในอนนาคต
การที่คนไทยมีอายุยืนยาวขึ้น ถือเป็นความสำเร็จด้านสาธารณสุข แต่ขณะเดียวกันก็เป็นความท้าทายเชิงโครงสร้างประชากรและเศรษฐกิจ รัฐบาลมีแนวคิดที่จะขยายอายุเกษียณ เช่น จาก 60 ปีเป็น 65 ปี ที่เป็นมาตรการเชิงนโยบายเพื่อที่จะรักษาและชดเชยกำลังแรงงานที่หดหาย อันเนื่องมาจากอัตราการเกิดที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สัดส่วนของประชากรวัยแรงงานเมื่อเทียบกับประชากรสูงอายุลดลงอย่างรวดเร็ว และอัตราส่วนการพึ่งพิงสูงวัยเพิ่มขึ้น รวมทั้งแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ซึ่งการขยายอายุเกษียณเป็นกลไกที่ช่วยการชะลอการออกจากตลาดแรงงานของผู้ที่มีประสบการณ์และความสามารถ ทำให้ประเทศสามารถรักษาจำนวนกำลังแรงงานรวมให้เพียงพอต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้
ในปัจจุบัน มีหลายองค์กรที่มีนโนบาย "ลดอายุเกษียณ" อย่างชัดเจน ซึ่งจะเห็นในรูปแบบของ "โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดโดยสมัครใจ" เป็นกลไกที่ภาคเอกชนใช้ในการปรับโครงสร้างองค์กรและลดต้นทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเผชิญกับการเข้ามาของเทคโนโลยี AI โดยมีตัวอย่างที่เด่นชัดที่สุดและสร้างความสั่นสะเทือนในสังคมไทย คือ กรณีของสถาบันการเงินและธนาคารขนาดใหญ่ ทั้งนี้อุตสาหกรรมธนาคารเป็นหนึ่งในกลุ่มแรกที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลและ AI เนื่องจากงานส่วนใหญ่เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลข้อมูลและงานซ้ำซ้อน ซึ่ง AI สามารถทำได้ดีกว่า
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีข่าวปรากฏเป็นระยะเกี่ยวกับการที่ธนาคารขนาดใหญ่ในประเทศไทยเปิดโครงการเกษียณก่อนกำหนด โดยมีคุณสมบัติให้พนักงานสามารถเข้าร่วมได้ตั้งแต่อายุไม่สูงมากนัก เช่น อายุ 45 ปีขึ้นไป ซึ่งถือว่ายังเป็นวัยกลางคนที่ควรอยู่ในตลาดแรงงานและกำลังสร้างความมั่นคงในชีวิต โดยมีแรงจูงใจเสนอสิทธิประโยชน์ที่สูงกว่าเงินชดเชยตามกฎหมายแรงงานกำหนด เพื่อจูงใจให้พนักงานตัดสินใจ "สมัครใจ" ลาออก
ทั้งนี้ แม้ว่าชื่อโครงการจะเป็นไปในลักษณะ "สมัครใจ" แต่เหตุผลของการเปิดโครงการในช่วงเวลานี้มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับ AI และเทคโนโลยีที่ธนาคารนำมาใช้ เช่น งานหลังบ้าน งานประมวลผลสินเชื่อ พนักงานสาขา (เนื่องจากลูกค้าใช้แอปพลิเคชันมากขึ้น)
ความพยายามของรัฐบาลในการดึงแรงงานสูงอายุให้อยู่ในระบบกลับขัดแย้งกับความเป็นจริงในภาคเอกชนที่ใช้ AI เพื่อลดจำนวนพนักงาน ภาคเอกชนส่วนใหญ่มองว่า การจ้างแรงงานสูงวัยที่อาจมีค่าจ้างสูงกว่าและขาดทักษะดิจิทัลใหม่ๆ เป็นภาระต้นทุนเมื่อเทียบกับการลงทุนใน AI หรือการจ้างแรงงานรุ่นใหม่ที่มีทักษะตรงกับความต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน อุตสาหกรรมที่ปรับตัวสูง (เช่น สถาบันการเงิน/ธนาคาร):
เอกสารอ้างอิง

