The Prachakorn

เด็กยุคจอ กับภาวะใจยุคใหม่: ภาพสะท้อนพฤติกรรมเสี่ยงของเยาวชนไทยในยุคดิจิทัล


อาตีซะห์ วาแมง

09 ธันวาคม 2568
49



ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน เด็กและเยาวชนไทยเติบโตขึ้นพร้อมกับหน้าจอมือถือ แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย และโลกออนไลน์ที่เปิดกว้างไร้ขอบเขต โทรศัพท์มือถือกลายเป็นทั้งห้องเรียน ห้องเล่น และห้องส่วนตัวในเวลาเดียวกัน “โลกจอ” จึงไม่เพียงเป็นประตูสู่การเรียนรู้ แต่ยังเป็นกระจกสะท้อนจิตใจของคนรุ่นใหม่ พื้นที่เสมือนจริงที่เคยเป็นเพียง “ที่เล่น” กลับกลายเป็น “พื้นที่ชีวิต” ที่กำหนดความคิด อารมณ์ ความรู้สึก และพฤติกรรมในมิติที่สังคมอาจคาดไม่ถึง ในโลกที่ทุกอย่างออนไลน์ได้ตลอดเวลานี้ คำถามสำคัญคือ สุขภาพจิตของเด็กไทยยังแข็งแรงพอที่จะรับมือกับโลกที่ไม่เคยปิดเครื่องนี้หรือไม่?

เด็กไทยใช้สื่อออนไลน์มากที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ของอาเซียน

ท่ามกลางโอกาสไร้ขอบเขตจากเทคโนโลยี ก็มี “เงามืด” ที่เริ่มฉายภาพให้เห็นปัญหาทางใจและพฤติกรรมเสี่ยงในหมู่เยาวชนมากขึ้นทุกปี เด็กจำนวนไม่น้อยใช้เวลาอยู่กับโลกออนไลน์วันละหลายชั่วโมง บางคนแทบไม่มีช่วง “ออฟไลน์” ให้กับตัวเอง ข้อมูลจากรายงาน Youth Survey Media Briefing (Sept 2018)1 เผยให้เห็น พฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตของเยาวชนในอาเซียน จากการสำรวจใน 6 ประเทศ (อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม) พบว่า เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 35 ปี มีการเข้าถึงสมาร์ตโฟนและอินเทอร์เน็ตบนมือถือแพร่หลายมากขึ้นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งระยะเวลาเฉลี่ยในการใช้อินเทอร์เน็ตของเยาวชนอยู่ที่ 6 ชั่วโมง 4 นาทีต่อวัน โดยกว่า ร้อยละ 22 ใช้อินเทอร์เน็ตมากกว่า 9 ชั่วโมงต่อวัน แต่จุดที่น่าจับตาที่สุด คือ เยาวชนไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่ “ใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุดในอาเซียน” ด้วยเวลาเฉลี่ย 7 ชั่วโมง 6 นาทีต่อวัน ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความพร้อมทางดิจิทัลและการเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างกว้างขวางของเด็กไทยในยุคใหม่ แต่ในอีกมุมหนึ่งก็ชี้ให้เห็น “ความเสี่ยงด้านสุขภาพจิต” หากขาดการบริหารเวลาอย่างสมดุล

ที่มารูปภาพ Freepik

พฤติกรรมเสี่ยงของเด็กยุคจอ ในโลกที่ไม่เคยหลับ

จากรายงานผลการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ปี 25652 ระบุว่า คนไทย (ตั้งแต่อายุน้อยกว่า 22 ปี-77 ปีขึ้นไป) ใช้อินเทอร์เน็ตเฉลี่ย 7 ชั่วโมง 4 นาทีต่อวัน ซึ่งในกลุ่ม Gen Z (อายุน้อยกว่า 22 ปี) มีสัดส่วนการใช้งานเฉลี่ยสูงถึง 8 ชั่วโมง 24 นาทีต่อวัน และกว่าร้อยละ 80 ใช้สื่อสังคมออนไลน์ (social media) เป็นกิจกรรมหลักในชีวิตประจำวัน โดยใช้เพื่อติดต่อสื่อสาร เล่นเกม ดูวิดีโอ และติดตามข่าวสารบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ขณะที่การสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ในปี 25673 รายงานว่า เด็กและเยาวชนไทยอายุ 6-24 ปี มีโทรศัพท์มือถือเป็นของตัวเองถึง ร้อยละ 81.5 และมีการใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากร้อยละ 86.3 ในปี 2562 เป็นร้อยละ 98.2 ในปี 2567 โดยเมื่อพิจารณาในแต่ละกลุ่มอายุ พบว่า มีแนวโน้มการใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มอายุโดยเฉพาะกลุ่มอายุ 6-11 ปี มีอัตราการเพิ่มขึ้นของการใช้อินเทอร์เน็ตสูงที่สุด เมื่อเทียบกับกลุ่มอายุอื่น ๆ

แนวโน้มการใช้อินเทอร์เน็ตของเด็กและเยาวชนอายุ 6-24 ปี พ.ศ. 2562-2567
อ้างอิงข้อมูลจาก สำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (2567)

อย่างไรก็ตาม การใช้ชีวิตอยู่ในโลกออนไลน์ที่มากเกินไป อาจนำไปสู่พฤติกรรมเสี่ยงในหลายรูปแบบ4 ตั้งแต่การแยกตัวออกจากสังคม การมีโลกส่วนตัวสูง การเลียนแบบพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ความฉลาดทางอารมณ์ลดลง เช่น ใจร้อน รอไม่ได้ การใช้เวลาส่วนมากในการเล่นเกมหรือดูสื่อออนไลน์ ต่อเนื่องเกิน 6 ชั่วโมงต่อวัน นอกจากนี้ ยังมีพฤติกรรมการนอนดึก อ่อนเพลีย เริ่มพูดโกหกเกี่ยวกับการใช้เวลาอยู่ในโลกออนไลน์ ไม่สนใจการออกกำลังกาย เริ่มมีปัญหาการเรียนตกต่ำ มีอาการปวดศีรษะและปวดตาบ่อย ๆ รวมไปถึงการไม่เชื่อฟังผู้ปกครอง และใช้เงินสิ้นเปลือง เป็นต้น พฤติกรรมเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า การใช้อินเทอร์เน็ตอย่างต่อเนื่องและยาวนานไม่ได้เป็นเพียงพฤติกรรม “ดิจิทัลติดนิสัย” (Digital addiction) แต่ยังอาจกระทบต่อกลไกทางจิตใจของเยาวชนโดยตรง ทั้งด้านพัฒนาการ สมาธิ การนอนหลับ ความเครียด และการรับรู้คุณค่าตนเองที่ลดลงจากการเปรียบเทียบกับผู้อื่นในโลกออนไลน์

จาก “โลกจอ” สู่ “โลกใจ”5

เมื่อ “โลกจอ” กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ผลพวงที่ตามมาคือ “ภาวะใจ” ที่เปราะบางมากขึ้น เด็กจำนวนไม่น้อยเริ่มแสดงอาการเครียด วิตกกังวล สมาธิสั้น และความรู้สึกโดดเดี่ยว จากการใช้สื่อเกินพอดี ซึ่งไม่ได้กระทบเพียงสุขภาพกาย แต่ยังสั่นคลอนถึง “สุขภาพใจ” ของเด็กและเยาวชนไทยอย่างมีนัยสำคัญ ข้อมูลการประเมินสุขภาพจิตของคนไทย ปี 2566 พบว่า กลุ่มอายุน้อยมีปัญหาสุขภาพจิตสูงกว่ากลุ่มอายุอื่นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 20–29 ปี มีความเสี่ยงซึมเศร้าสูงสุดที่ 39.2% รองลงมาคือ เสี่ยงเครียด 33.9% และเสี่ยงฆ่าตัวตาย 24.3% ส่วนกลุ่มอายุน้อยกว่า 20 ปี มีสัดส่วนความเสี่ยงในระดับใกล้เคียงกัน (เครียด 25.6% ซึมเศร้า 31.8% และเสี่ยงฆ่าตัวตาย 21.6%) สะท้อนให้เห็นว่า เยาวชนเป็นกลุ่มที่เผชิญความเครียด ภาวะซึมเศร้า และความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายสูงที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น ๆ  

ข้อมูลการประเมินสุขภาพจิตของคนไทย จำแนกตามกลุ่มอายุ ปี พ.ศ. 2566
อ้างอิงข้อมูลจาก https://checkin.dmh.go.th/dashboards 

นอกจากนั้น รายงานขององค์การอนามัยโลก6 ยังระบุว่า ปัญหาสุขภาพจิตเป็นสาเหตุการเจ็บป่วยและสูญเสียโอกาสทางชีวิตของวัยรุ่นไทยมากเป็นอันดับต้น ๆ โดยเฉพาะในช่วงหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งเด็กจำนวนมากต้องเรียนออนไลน์เป็นเวลานาน ขาดปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และรู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้น 

ทางรอดของเด็กยุคจอ

แม้โลกดิจิทัลจะเต็มไปด้วยความเสี่ยง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะ “ตัดขาด” เด็กออกจากเทคโนโลยี การอยู่ร่วมกับโลกออนไลน์อย่างรู้เท่าทันจึงกลายเป็นทักษะสำคัญในสังคมยุคใหม่ ดังนั้น สิ่งที่สังคมควรทำเพื่อส่งเสริมสุขภาพจิตและความปลอดภัยในโลกจอของเด็กและเยาวชน คือ 

  • การปลูกฝังทักษะการรู้เท่าทันสื่อ (Digital Literacy) ตั้งแต่ระดับประถม โดยสอนให้เด็กรู้จักแยกแยะข้อมูลจริง-เท็จ ใช้อินเทอร์เน็ตอย่างปลอดภัย และฝึกคิดวิเคราะห์ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้เชิงปฏิบัติ  
  • โรงเรียนควรมีระบบคัดกรองสุขภาพจิต เพื่อค้นหาและช่วยเหลือเด็กกลุ่มเสี่ยงตั้งแต่เนิ่น ๆ รวมถึงจัดกิจกรรมเสริมสร้างความยืดหยุ่นทางอารมณ์ และฝึกครูให้สังเกตสัญญาณปัญหาทางจิตใจของนักเรียน  
  • รัฐบาลควรพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ปลอดภัย พร้อมระบบรายงานปัญหาการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ (Cyberbullying) ที่มีประสิทธิภาพ ทั้งการแจ้งเตือนแบบไม่ระบุตัวตนและการติดตามช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบทันที 

นอกจากนี้ “ครอบครัว” ก็ถือได้ว่ามีบทบาทสำคัญในการสร้างพื้นที่ปลอดภัย “การพูดคุยในครอบครัว” จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ช่วยลดผลกระทบจากโลกออนไลน์ได้ ซึ่งหากรัฐ โรงเรียน และครอบครัวร่วมกันสร้าง “วัฒนธรรมดิจิทัลที่ปลอดภัย” โลกจออาจไม่ใช่ภัย แต่เป็นเวทีแห่งการเติบโตอย่างมีสุขภาวะของเด็กและเยาวชนไทย


แหล่งข้อมูลอ้างอิง

  1. World Economic Forum & Sea Group. (2018). ASEAN Youth and the Future of Work Media briefing. from https://www.weforum.org.
  2. สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์. (2565). ผลการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย (Thailand Internet User Behavior 2022). สืบค้น 31 ตุลาคม 2568, จาก https://www.etda.or.th/th/Our-Service/statistics-and-information/IUB2022.aspx
  3. สำนักงานสถิติแห่งชาติ. (2567). สรุปผลที่สำคัญการใช้ไอซีทีของเด็กและเยาวชน พ.ศ. 2567. กรุงเทพมหานคร: กองสถิติพยากรณ์ สำนักงานสถิติแห่งชาติ.
  4. ภัทริกา วงศ์อนันต์นนท์. (2557). พฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตของเด็กและเยาวชน. วารสารพยาบาลทหารบก, 15 (2), 173-178.
  5. กรมสุขภาพจิต. (2566). ระบบรายงานสุขภาพจิต. สืบค้น 1 พฤศจิกายน 2568, จาก https://checkin.dmh.go.th/dashboards
  6. World Health Organization. (2025). Mental Health and Social Connection in Thailand. from https://www.who.int/thailand/news/feature-stories/detail/mental-health-and-social-connection-in-thailand.

 

 


Tags :

CONTRIBUTOR

Related Posts
Copyright © 2020 สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม 73170
โทรศัพท์ 02-441-0201-4 โทรสาร 02-441-9333
Webmaster: piyawat.saw@mahidol.ac.th