แม้ประเทศไทยจะมีความก้าวหน้าในการลดอัตราภาวะทุพโภชนาการในเด็ก แต่พื้นที่ชายแดนใต้กลับยังคงเผชิญ “ช่องว่างทางโภชนาการ” อย่างต่อเนื่อง เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ในจังหวัดยะลา ปัตตานี และนราธิวาส ยังคงมีภาวะแคระแกร็นและผอมแห้งในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศกว่าเท่าตัว ปัญหาจากพื้นที่ยังคงสะท้อนเสียงเงียบของความเหลื่อมล้ำทางอาหาร และชวนตั้งคำถามสำคัญว่า “นโยบายที่วางไว้เพื่อความเท่าเทียม ได้ลงลึกถึงจานข้าวของเด็กในพื้นที่จริงแล้วหรือยัง?”
เสียงจากพื้นที่: เมื่อความหิวไม่ใช่แค่เรื่องของอาหาร
“นโยบายโภชนาการอาจยังไม่ตอบโจทย์ หากความเหลื่อมล้ำทางโภชนาการยังคงมีอยู่”
ประโยคนี้อาจสะท้อนความจริงอันขมขื่นของพื้นที่ที่เต็มไปด้วยความเปราะบางทางเศรษฐกิจและสังคม ภาวะทุพโภชนาการในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ยังคงเป็นปัญหาเรื้อรังในสามจังหวัดชายแดนใต้ จากการสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทย ปี 25651 สะท้อนให้เห็นว่า “พื้นที่ชายแดนใต้ยังคงเผชิญความเหลื่อมล้ำทางโภชนาการอย่างต่อเนื่อง” เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีในสามจังหวัดชายแดนใต้มีภาวะทุพโภชนาการสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ 2–3 เท่า โดยเฉพาะจังหวัดปัตตานี ซึ่งมีเด็กน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ถึง ร้อยละ 21.1 และภาวะผอมแห้ง ร้อยละ 12.6 ขณะที่ในทั้งสามจังหวัด มีอัตราภาวะแคระแกร็นในระดับใกล้เคียงกัน ร้อยละ 19.5-20.2 ตัวเลขเหล่านี้สะท้อน “ภาวะขาดสารอาหารเรื้อรัง” ที่ยังฝังลึกในพื้นที่ ทั้งจากข้อจำกัดด้านเศรษฐกิจ พฤติกรรมการบริโภค และการเข้าถึงบริการสุขภาพที่ไม่เท่าเทียม แม้ประเทศไทยจะมียุทธศาสตร์โภชนาการระดับชาติที่ชัดเจน แต่ข้อมูลจากชายแดนใต้กลับชี้ว่าช่องว่างเชิงนโยบายยังคงมีอยู่จริง และต้องได้รับการแก้ไขอย่างเป็นระบบมากกว่าการให้ความช่วยเหลือในระยะสั้น
ร้อยละภาวะทุพโภชนาการในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้

อ้างอิงข้อมูลจาก สำนักงานสถิติแห่งชาติ. (2566)
นโยบายระดับประเทศ: ช่องว่างระหว่างเป้าหมายกับความเป็นจริง
แม้นโยบายด้านโภชนาการของไทยจะวางกรอบเป้าหมายไว้อย่างชัดเจน ทั้งในระดับกฎหมาย แผนปฏิบัติการ และโครงการส่งเสริมสุขภาพ ซึ่งมุ่งลดความชุกของภาวะเตี้ย ผอมแห้ง และน้ำหนักเกิน ให้ต่ำกว่าร้อยละ 10 ภายในปี 2570 แต่ในทางปฏิบัติกลับพบว่า ผลลัพธ์ในพื้นที่จริง โดยเฉพาะสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังห่างไกลจากเป้าหมายระดับชาติอย่างมาก เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ในจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส มีภาวะทุพโภชนาการสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ สะท้อนให้เห็นว่าการดำเนินนโยบายในระดับชาติยังไม่สามารถ “ลงลึก” สู่กลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ได้อย่างทั่วถึง โดยการวิเคราะห์ช่องว่างเชิงนโยบายและการจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายในครั้งนี้ ได้ดำเนินการด้วยกระบวนการสังเคราะห์ข้อมูลแบบหลายวิธี ซึ่งรวมถึง การทบทวนเอกสารเชิงนโยบายและกรอบยุทธศาสตร์ระดับชาติด้วยวิธีการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (literature review & policy analysis) และ การสังเคราะห์ข้อมูลจากงานวิจัยของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บทความนี้จึงขอชี้ให้เห็นถึงช่องว่างของโยบายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการภาวะทุพโภชนาการในประเทศไทย ดังต่อไปนี้
- พระราชบัญญัติควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก พ.ศ. 25602 มุ่งควบคุมการตลาดและโฆษณานมผงและอาหารเสริมเท่านั้น เพื่อยับยั้งการส่งเสริมการตลาดและการโฆษณานมผงที่อวดอ้างข้อมูลจนเกินจริง แต่ยังไม่ครอบคลุมการส่งเสริมโภชนาการเชิงรุกในระดับครอบครัวหรือชุมชนโดยตรง อีกทั้งการบังคับใช้ยังจำกัดจากปัญหาทางภาษาและวัฒนธรรม ทำให้ร้านค้าออนไลน์ยังโฆษณาได้ง่ายในพื้นที่ชายแดนใต้
- แผนปฏิบัติการโภชนาการแห่งชาติ (พ.ศ. 2566 – 2570)3 มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาภาวะทุพโภชนาการของคนไทยอย่างรอบด้าน โดยครอบคลุมทั้งปัญหาขาดสารอาหาร และ โภชนาการเกิน (โรคอ้วน) รวมถึงการเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารและคุณภาพอาหารให้ปลอดภัย แต่ในทางปฏิบัติกลับพบว่า ยังขาดกลไกการติดตามแบบเรียลไทม์ และการรายงานระดับพื้นที่ ทำให้งบประมาณไม่สอดคล้องกับความต้องการจริงในพื้นที่ รวมถึงการบูรณาการระหว่างหน่วยงานยังจำกัด เกิดการปฏิบัติงานแบบแยกส่วน และไม่สอดคล้องกับวิถีวัฒนธรรมมุสลิม เช่น เมนูอาหารฮาลาล เป็นต้น
- แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2566 –2570)4 เน้นสร้างระบบส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อโภชนาการดี การมีส่วนร่วม และระบบข้อมูลเฝ้าระวัง ซึ่งเป็นการมุ่งเน้น “สุขภาพโดยรวม” มากกว่า “โภชนาการเฉพาะกลุ่มเด็กเล็ก” จึงไม่ชัดเจนในการแก้ปัญหาทุพโภชนาการโดยตรง อีกทั้งยังขาดแนวทางบูรณาการข้อมูลด้านโภชนาการเข้ากับระบบอนามัยสิ่งแวดล้อม และขาดตัวชี้วัดเฉพาะสำหรับการติดตามเด็กกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ชายแดนใต้
- นโยบาย “โครงการอาหารกลางวันขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและสถานศึกษาสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” ปี พ.ศ.25685 แม้มีการตั้งเป้าหมายเพื่อยกระดับโภชนาการเด็กนักเรียนไว้อย่างชัดเจน โดยเน้นการให้เด็กได้รับสารอาหารครบถ้วน และมีงบประมาณสนับสนุนที่ปรับตามขนาดของสถานศึกษา เช่น โรงเรียนขนาดเล็กได้อัตราสูงกว่าโรงเรียนขนาดใหญ่ แต่ในทางปฏิบัติกลับพบว่า คุณภาพอาหารยังไม่สม่ำเสมอ งบประมาณการจัดสรรค่าอาหารกลางวัน 22–36 บาท/คน/วัน ไม่สอดคล้องกับราคาวัตถุดิบจริงในพื้นที่จริง รวมถึงระบบ Thai School Lunch ยังไม่ครอบคลุมทุกสถานศึกษา โดยเฉพาะศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในพื้นที่ชนบทและพื้นที่ห่างไกล
- โครงการ "Model พลัง 3 สร้าง: สร้างเด็กปฐมวัยไทยคุณภาพ แก้ไขปัญหาเตี้ย ผอม อ้วน"6 ถือเป็นแนวทางจัดการและแก้ไขปัญหาทุพโภชนาการในเด็กปฐมวัยไทยอย่างเป็นระบบ โดยใช้แนวคิดหลัก “พลัง 3 สร้าง” เป็นกลไกขับเคลื่อนหลักในการสร้างเด็กปฐมวัยไทยให้มีคุณภาพ แต่ยังขาดระบบขยายผลและกำกับดูแลเมื่อถ่ายทอดสู่พื้นที่จริง เช่น อปท. หรือ รพ.สต. ขณะที่การติดตามผลยังเป็นลักษณะรายงานกิจกรรม ไม่ใช่การวัดการเจริญเติบโตของเด็กอย่างเป็นระบบ

ที่มารูปภาพ: AI Generate by www.freepik.com
ข้อเสนอเชิงนโยบาย: ก้าวต่อไปของการจัดการโภชนาการเด็กอย่างยั่งยืน
เพื่อให้การแก้ปัญหาภาวะทุพโภชนาการในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีประสิทธิผลและตอบโจทย์บริบทพื้นที่ บทความนี้จึงขอเสนอแนวทางเชิงนโยบาย 3 ประการดังต่อไปนี้
- พัฒนาระบบข้อมูลโภชนาการเชิงพื้นที่แบบเรียลไทม์ (Nutrition Dashboard) จัดทำระบบข้อมูลโภชนาการเชิงพื้นที่ เพื่อรวบรวมและเชื่อมโยงข้อมูลการเจริญเติบโตของเด็กจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) โรงเรียน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อใช้ในการกำหนดนโยบาย สามารถเฝ้าระวัง วิเคราะห์แนวโน้ม และบริหารงบประมาณตามความเสี่ยงของแต่ละพื้นที่ได้อย่างแม่นยำมากขึ้น อีกทั้งยังสามารถติดตามผลการดำเนินงานและให้การช่วยเหลือได้ทันท่วงที
- จัดตั้ง “คณะกรรมการโภชนาการเด็กชายแดนใต้” ในระดับจังหวัด/อำเภอ โดยบูรณาการภาคสาธารณสุข การศึกษา อบจ./อบต. องค์กรศาสนา/ชุมชน และหน่วยงานความมั่นคง เพื่อร่วมกำหนดแผนยุทธศาสตร์รายพื้นที่ และกำกับการใช้ทรัพยากรด้านอาหารให้สอดคล้องกับบริบทวัฒนธรรม
- ส่งเสริมโมเดล “ธนาคารอาหารชุมชน” และ “ครัวปลอดภัยสำหรับเด็ก” ให้เป็นศูนย์กลางเก็บและกระจายอาหารไปยังครัวเรือนในพื้นที่ เพื่อลดปัญหาการขาดแคลนอาหาร โดยใช้พื้นที่สาธารณะที่มีในชุมชนเป็นศูนย์กลาง เช่น ศาลาวัด โรงเรียน อาคารชุมชน และแต่งตั้งเครือข่ายอาสาสมัคร (เช่น อสม. กลุ่มเยาวชน) ที่พร้อมช่วยกระจายอาหารไปยังครัวเรือน โดยใช้งบประมาณร่วมระหว่างภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม พร้อมทั้งสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ การปลูกผักสวนครัว และการลดขยะอาหาร (Food Waste) เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารในระดับครัวเรือนอย่างยั่งยืน
การแก้ปัญหาทุพโภชนาการในเด็กจึงไม่ใช่เพียงการเพิ่มอาหารในจาน แต่คือการออกแบบ “โครงสร้างนโยบายที่เป็นธรรม” ให้เด็กทุกคนมีโอกาสเติบโตอย่างเท่าเทียม การยุติความหิวโหยในพื้นที่ชายแดนใต้ไม่อาจสำเร็จได้ด้วยมาตรการสาธารณสุขเพียงอย่างเดียว หากต้องอาศัยการบูรณาการนโยบายด้านสังคม เศรษฐกิจ การศึกษา และความมั่นคง ที่ให้ “โภชนาการ” กลายเป็นหัวใจกลางของการพัฒนาอย่างยั่งยืน
“เด็กที่อิ่มท้องวันนี้ คือ ประชากรที่มั่นคงของวันพรุ่งนี้” ถึงเวลาที่นโยบายโภชนาการจะต้องไม่หยุดอยู่แค่ในหน้ากระดาษ แต่ต้องกลายเป็นความจริงในจานอาหารของเด็กชายแดนใต้ทุกคน
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- สำนักงานสถิติแห่งชาติ. (2566). การสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีใน 12 จังหวัดของประเทศไทย พ.ศ. 2565. กรุงเทพมหานคร: กองสถิติพยากรณ์ สำนักงานสถิติแห่งชาติ.
- ศูนย์วิชาการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (คคส.). (2561) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. รู้จักกฎหมาย ‘นมผง’ (Milk Code). สืบค้น 13 พฤศจิกายน 2568, จาก https://www.thaihealthconsumer.org/news/milk-code/.
- สำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. (2568). แผนปฏิบัติการด้านโภชนาการแห่งชาติ ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2566 - 2570) ในช่วงครึ่งหลังของแผน (พ.ศ. 2568 - 2570). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์อักษรกราฟฟิคแอนด์ดีไซน์.
- กองแผนงาน กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. (2565). แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2566-2570). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์อักษรกราฟฟิคแอนด์ดีไซน์.
- 5. กองส่งเสริมและพัฒนาการจัดการการศึกษาท้องถิ่น กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย. (2568). แนวทางการดำเนินงานโครงการอาหารกลางวันขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและสถานศึกษาสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568. สืบค้น 13 พฤศจิกายน 2568, จาก http://core- website.com/public/dispatch_upload/ backend/core_dispatch_377254_1.
- สำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. (2568). คู่มือการดำเนินงานการจัดการและแก้ไขปัญหาทุพโภชนาการเด็กปฐมวัยไทยภายใต้รูปแบบ พลัง 3 สร้าง “สร้างเด็กปฐมวัยไทยคุณภาพแก้ไขปัญหาเตี้ย ผอม อ้วน”. สืบค้น 13 พฤศจิกายน 2568, จาก https://www.366q-kids.com/knowledge/manual-1831/.