The Prachakorn

บทเรียนใหม่บนเส้นทางเดิม: มาราธอนครั้งที่สองที่ไม่เหมือนครั้งแรก


นงนุช จินดารัตนาภรณ์

25 ธันวาคม 2568
16



ฉันได้มีประสบการณ์  เข้าร่วมการแข่งขันมาราธอนระยะเต็ม (Full Marathon)   ครั้งแรกรายการวิ่งผ่าเมือง หรือ Amazing Thailand Marathon ในปี 2024 มาราธอนครั้งแรกนี้จบลงด้วยเวลา เกือบ 5 ชั่วโมง (4 ชั่วโมง 58 นาที 56 วินาที) และครั้งที่สองฉันเข้าร่วมการแข่งขันมาราธอนในรายการเดียวกันอีกครั้ง ในปี 2025 การตัดสินใจกลับมาวิ่งมาราธอนครั้งที่สอง ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะอยากวิ่งอีกครั้งเท่านั้น แต่เกิดขึ้นเพราะเสียงในหัวและใจบอกว่า “เราจะทำได้ดีกว่านี้อีกไหม?” และฉันอยากรู้ว่า “ถ้าตั้งใจมากขึ้นอีกนิด ฉันจะทำได้ดีมากขึ้นแค่ไหน?”

การเตรียมตัวครั้งที่สองจึงเริ่มขึ้นบนเส้นทางที่คุ้นเคยบนถนนวิ่งแถวบ้าน สวนลุมพินี และสวนรถไฟ ที่ฉันไปฝึกซ้อมกับสามีเป็นประจำ เสียงหัวเราะก่อนเริ่มซ้อม การให้กำลังใจกันระหว่างวิ่ง และเสียงบ่นอย่างพรั่งพรูในวันที่อากาศร้อนมากๆ กลายเป็นพลังใจสำคัญในการฝึกซ้อม ทุกเช้าวันเสาร์และวันอาทิตย์ที่ต้องวิ่งยาว เราจะถามกันว่า “วันนี้เราวิ่งกันกี่กิโลดี?” แล้วค่อยๆ ผลักดันกันไปทีละก้าว ทีละกิโลเมตร จนความเหนื่อยกลายเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เราผูกพันกันมากขึ้นทั้งในฐานะคู่ชีวิตและคู่ซ้อม

การวิ่งครั้งที่สองนี้ฉันเตรียมตัวและวางแผนการฝึกซ้อมแตกต่างจากครั้งแรก ฉันมีเทคนิคใหม่ที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจด้วยการซ้อมแบบมีโครงสร้าง 5 วัน ต่อ 1 สัปดาห์ เช่น การซ้อมวิ่งระยะยาว (long run) ติดกันสองวัน วันแรกระยะทาง 30 กิโลเมตร วันที่ 2 ระยะทาง 20 กิโลเมตร และวันที่ 3 วิ่งแบบสบาย (easy run) ระยะทาง 10 กิโลเมตร   รวมเป็นการซ้อมวิ่งสามวัน แล้วพักหนึ่งวัน จากนั้นวันที่ 4 และวันที่ 5 วิ่งแบบสบาย (easy run) ระยะทาง 10 กิโลเมตร ด้วยการวิ่งขึ้นสะพานหรือทางลาดชันในกิโลเมตรสุดท้ายก่อนจบการฝึกซ้อม และการควบคุมความเร็วในการวิ่งต่อระยะหนึ่งกิโลเมตร (pace) ให้คงที่ เช่น 6 นาที ต่อทุกๆ 1 กิโลเมตร แล้วพักหนึ่งวัน ฉันฝึกซ้อมแบบนี้สามเดือนก่อนการแข่งขัน

นอกจากนี้ ฉันยังใส่ใจสัญญาณของร่างกายตัวเองมากขึ้น ได้แก่ การสังเกตจังหวะการหายใจ การเต้นของหัวใจ ความฝืดช่วงเช้า และความล้ามากผิดปกติ เช่น เมื่อร่างกายเริ่มขอให้ช้าลง บางครั้งไม่ใช่อาการบาดเจ็บ แต่เป็นความล้าที่บ่งบอกว่า เรากำลังก้าวเร็วไป หรือพลังงานไม่พอ ฉันจึงปรับทั้งความเร็ว เวลาในการพักดื่มน้ำ การฟังร่างกายเช่นนี้ทำให้ฉันกล้าพักในวันที่จำเป็น และไม่รู้สึกผิดที่ต้องเลื่อนแผนการฝึกซ้อม เพราะรู้ว่าการพักคือส่วนหนึ่งของการพัฒนาไม่ใช่การถอยหลัง ดังนั้น การฝึกซ้อมครั้งนี้ไม่ใช่แค่การเพิ่มระยะทาง และการเพิ่มความอึด แต่เป็นการเพิ่มคุณภาพการวิ่งของตัวเองด้วย

แม้ฉันมีประสบการณ์วิ่งมาราธอนจากครั้งแรก แต่เมื่อลงสนามจริงอีกครั้ง ฉันพบว่า มาราธอนไม่เคยง่ายเลย ปีนี้โชคดีมากที่อากาศเย็นสบายมากกว่าปีที่แล้ว แต่สิ่งที่ไม่ง่ายคือนักวิ่งเยอะมาก ตั้งแต่กิโลเมตรแรกจนถึงกิโลเมตรที่ 29 ทำให้การคุม pace เป็นเรื่องท้าทาย ต้องคอยหลบ คอยแทรก คอยมองจังหวะว่าควรเร่งหรือลด pace การจดจ่อกับร่างกายตัวเองในกลุ่มคนหนาแน่นเป็นแบบทดสอบอีกแบบหนึ่งที่ต้องใช้ทั้งสมาธิและความอดทน แต่ฉันรู้สึกว่าตัวเองรับมือได้ดีขึ้นจากการฝึกซ้อมที่ผ่านมาตลอด 3 เดือน ส่วนหนึ่งเพราะสวนลุมพินีและสวนรถไฟที่ใช้ฝึกซ้อมเป็นประจำมีนักวิ่งจำนวนมากเช่นเดียวกัน

สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจริงๆ ของการวิ่งมาราธอนคือ วิธีที่เราคิดและมองโลก ซึ่งทำให้เราเลือกทำและ ตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ ในชีวิตของเรา (mindset  ) จากครั้งแรกฉันอยากแค่พิสูจน์ว่า “เราจะทำได้ไหม?” จนครั้งที่สองอยากพิสูจน์ว่า “เราจะทำได้ดีกว่าเดิมไหม?”

เมื่อเข้าโค้งสุดท้ายก่อนถึงเส้นชัย ฉันเห็นตัวเลขบนป้ายเวลา รู้สึกว่าตัวเองยิ้มหน้าบานเลย (ทั้งๆ ที่มองไม่เห็นหน้าตัวเอง) มันเร็วกว่าครั้งแรกแบบเห็นได้ชัด เมื่อเท้าก้าวข้ามเส้นชัย นาฬิกาบอกเวลา 4 ชั่วโมง 33 นาที ฉันทำเวลาได้ดีขึ้นถึง 25 นาทีเต็ม ความรู้สึกตอนนั้นทั้งดีใจและโล่งใจ (ทำได้แล้ว!) เพราะฉันรู้ว่าความสำเร็จนี้ไม่ได้มาจากโชคช่วย (อากาศเย็น) เท่านั้น แต่มาจากทุกเช้าที่ตื่นมาซ้อมวิ่งกับสามีด้วยกัน และจากใจที่ไม่ยอมแพ้ต่อความเหนื่อยล้าและความขี้เกียจของตัวเอง

มาราธอนครั้งที่สองนี้สอนให้ฉันรู้ว่า เราไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเส้นทางชีวิต แต่เราสามารถเดินบนเส้นทางเดิมด้วยตัวตนที่แข็งแรงกว่าเดิมได้ และบางทีความสุขของการวิ่งมาราธอนไม่ได้อยู่ที่เส้นชัย แต่อยู่ที่การตัดสินใจเริ่มต้นอีกครั้งด้วยหัวใจที่อยากเติบโตขึ้นในทุกๆ วัน

 


Tags :

CONTRIBUTOR

Related Posts
Copyright © 2020 สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม 73170
โทรศัพท์ 02-441-0201-4 โทรสาร 02-441-9333
Webmaster: piyawat.saw@mahidol.ac.th