The Prachakorn

อายุของผู้สูงอายุ เป็นเรื่องอีกครั้ง


ปราโมทย์ ประสาทกุล

13 มกราคม 2569
15



เรื่องที่ว่า “ผู้สูงอายุ” ควรมีอายุเท่าไร  เริ่มตั้งแต่ 60 ปี หรือ 65 ปีขึ้นไปดี กลายเป็นประเด็นที่พูดกันมากในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา แต่คราวนี้ประเด็นที่ถกเถียงกันอยู่เป็นเรื่องเกินไปจากนิยามทั่วไปของคำว่า ผู้สูงอายุ 

คำถามมีว่า เราจะเลื่อนอายุเกษียณราชการจาก 60 ปีขึ้นไปเป็น 65 ปี จะดีไหม

ผมขอย้อนกลับไปถึงเรื่องที่เรากำลังจะเปลี่ยนนิยามของผู้สูงอายุ จากที่เคยหมายถึงบุคคลที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป เป็นบุคคลที่มีอายุ 65 ปี และก่อนที่จะพูดเรื่องอายุเกษียณจากการทำงานราชการ ผมขอแบ่งอายุในนิยามผู้สูงอายุออกเป็น 3 ประเภทดังนี้
(1) อายุที่ยอมรับและรับรู้กันทั่วไปในสังคมว่าเป็นอายุเริ่มต้นของการเป็นผู้สูงอายุ
(2) อายุที่ใช้เป็นเกณฑ์เพื่อสิทธิในการรับสวัสดิการและผลประโยชน์อื่นๆ ในฐานะเป็นผู้สูงอายุ
(3) อายุของผู้สูงอายุเมื่อหยุดทำงานราชการอย่างถาวร หรืออายุเกษียณราชการ

  1. อายุที่คนทั่วไปในสังคมยอมรับและรับรู้ว่าเข้าสู่ความเป็นผู้สูงอายุ คนไทยถือเอาอายุครบ 5 รอบปีนักษัตร คือ 60 ปี เป็นอายุที่เริ่มเข้าสู่วัยชรา ต่อมา พระราชบัญญัติ  (พ.ร.บ.) บำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 ได้กำหนดให้อายุ 60 ปีขึ้นไปเป็นเหตุสูงอายุให้ข้าราชการมีสิทธิได้รับบำเหน็จบำนาญ และต่อมา พ.ร.บ. ผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 ได้กำหนดให้ผู้สูงอายุหมายถึงบุคคลที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ในอดีตเมื่อ 100 ปีก่อน สุขภาพของคนไทยยังไม่ดีนัก อายุคาดเฉลี่ยตั้งแต่เกิดจนตายยืนยาวไม่ถึง 50 ปี คนไทยที่เกิดมาปีเดียวกัน ไม่ถึงครึ่งหนึ่งจะยังมีชีวิตจนถึง 60 ปี แต่ในปัจจุบันอายุคาดเฉลี่ยของคนไทยยืนยาวกว่า 75 ปี คนที่เกิดมาพร้อมกันจะมีชีวิตอยู่จนถึง 60 ปีมากกว่าร้อยละ 80 เดี๋ยวนี้คนอายุ 60 ปีต้นๆ จะยังดูไม่แก่นัก มีเป็นจำนวนมากที่ยังดูเป็นหนุ่มสาว

    เป็นที่น่ายินดีว่า ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2569 จะมีศัพท์คำว่าผู้สูงอายุที่หมายถึงบุคคลที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป เพื่อให้สอดคล้องกับสุขภาพอนามัยของคนไทยที่ดีขึ้นอย่างมาก

    การเปลี่ยนนิยามผู้สูงอายุจาก 60 ปี เป็น 65 ปีขึ้นไป จะทำให้คนไทยมีความรู้สึกเป็นหนุ่มสาวขึ้นอีก 5 ปีอย่างแน่นอน
  2. อายุที่ใช้เป็นเกณฑ์เพื่อสิทธิในการรับสวัสดิการและผลประโยชน์อื่นๆ พ.ร.บ. ผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 ได้กำหนดไว้ในมาตรา 3 ให้ผู้สูงอายุ หมายถึง บุคคลที่มีอายุเกิน 60 ปีขึ้นไปและมีสัญชาติไทย พ.ร.บ. ฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์หลัก คือ การกำหนดสิทธิให้ผู้สูงอายุที่จะได้รับการคุ้มครอง การส่งเสริม และการสนับสนุน 13 ข้อ ที่กำหนดไว้ในมาตรา 11 เช่น ได้รับบริการที่จัดเป็นพิเศษสำหรับผู้สูงอายุ ทั้งบริการทางการแพทย์ สาธารณสุข การศึกษา การอาชีพ การเดินทางคมนาคม การลดค่าโดยสารยานพาหนะ การยกเว้นค่าเข้าชมสถานที่ของรัฐ การให้คำปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาครอบครัว การจ่ายเงินสงเคราะห์เพื่อยังชีพ การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพเป็นรายเดือน และการสงเคราะห์ในการจัดการศพ

    มีข้อเสนอให้ปรับนิยามผู้สูงอายุตาม พ.ร.บ. ฉบับนี้ จาก 60 ปีเป็น 65 ปี เพราะประชากรอายุ 60-64 ปีในสมัยนี้ยังคงแข็งแรง มีสุขภาพดี และยังคงสามารถอยู่ในกำลังแรงงานต่อไปได้ ใน พ.ศ. 2568 ประชากรอายุ 60-64 ปี คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 6 ของประชากรทั้งหมด หรือประมาณ 1 ใน 3 ของประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป ถ้าประหยัดรายจ่ายเป็นเบี้ยยังชีพสำหรับประชากรอายุ 60- 64 ปี แล้วนำเงินที่ประหยัดได้ในส่วนนี้ไปจ่ายเป็นสวัสดิการให้ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไปในอัตราที่สูงขึ้น เป็นเบี้ยยังชีพไม่ต่ำกว่าเส้นความยากจน เช่น ประมาณ 3,000 บาทต่อเดือน ก็จะเป็นผลดีต่อผู้สูงอายุที่จะมีความมั่นคงเรื่องรายได้ที่เพียงพอต่อการยังชีพ แต่ในขณะเดียวกัน รัฐจะต้องเร่งดำเนินการให้คนไทยสูงวัยอย่างมีสุขภาพดีและมีพลัง เพื่อจะคงอยู่ในกำลังแรงงานได้ต่อไป โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรอายุ 60-64 ปี ควรจะต้องอยู่ในกำลังแรงงานให้มากที่สุด 

    ใน พ.ศ. 2568 รัฐบาลต้องจ่ายเบี้ยยังชีพรายเดือนให้ผู้มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ประมาณ 12 ล้านคน เป็นเงินงบประมาณ 8 หมื่นล้านบาท และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นในทุกปี ในปัจจุบัน เบี้ยยังชีพรายเดือนจ่ายให้กับผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ด้วยอัตราเป็นขั้นบันไดตั้งแต่ 600-1,000 บาทต่อเดือน
  3. อายุเกษียณราชการ ประเทศไทยถือเอาอายุ 60 ปี เป็นเหตุสูงอายุที่ข้าราชการจะได้รับบำเหน็จบำนาญมาตั้งแต่เมื่อมีประกาศใช้ พ.ร.บ.บำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 ปัจจุบันมีการศึกษาว่าควรเปลี่ยนอายุเกษียณราชการจาก 60 ปีเป็น 65 ปีดีหรือไม่ สำนักงานข้าราชการพลเรือน (กพ.) ได้มีข้อสรุปว่า การให้ข้าราชการทุกประเภทเกษียณอายุที่ 65 ปีนั้น ยังมีประเด็นที่ต้องพิจารณาอีกมาก งานราชการยังไม่ขาดแคลนแรงงานเหมือนแรงงานบางประเภท แนวทางของกพ. คือ ยังคงให้ข้าราชการเกษียณอายุที่ 60 ปี แต่ราชการหน่วยใดต้องการให้ข้าราชการในสังกัดเกษียณเมื่อมีอายุที่สูงขึ้นก็ย่อมทำได้เป็นรายกรณีไป ปัจจุบันข้าราชการฝ่ายตุลาการ เช่น ผู้พิพากษา อัยการ เกษียณอายุที่ 70 ปี ใน พ.ศ. 2568 มีผู้สูงอายุที่ได้รับบำเหน็จและบำนาญข้าราชการประมาณ 8 แสนคน งบประมาณปีละประมาณ 2 แสน 6 หมื่นล้านบาท 

    นอกจาก “อายุ” ที่ใช้เป็นเกณฑ์เรียก “ผู้สูงอายุ” 3 ประเภทนี้แล้ว อายุก็เป็นเพียงตัวเลข อายุเริ่มต้นที่ 60 ปี หรือ 65 ปี เป็นเพียงสถิติตัวเลขที่ใช้เพื่อบอกลักษณะของบุคคล หรือเพื่อเป็นดัชนีแสดงลักษณะทางประชากรศาสตร์ของประชากรในพื้นที่หนึ่งเท่านั้น ความแก่ชราไม่ได้บ่งชี้ด้วยจำนวนปีที่บุคคลนั้นมีชีวิตอยู่ อายุที่จะเกษียณจากการทำงานก็เช่นเดียวกัน ไม่ได้กำหนดด้วยอายุแต่เพียงอย่างเดียว สำหรับบุคคลทั่วไปที่ไม่เป็นข้าราชการ บุคคลจะเกษียณจากการทำงานด้วยหลากหลายสาเหตุ  เช่น เกษียณตามข้อตกลงที่ทำไว้กับนายจ้าง เกษียณเพราะปัญหาสุขภาพ เกษียณเพราะไม่มีความจำเป็นต้องทำงานต่อไป ฯลฯ

ปัจจุบันมีผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่ยอมและไม่อยากจะเกษียณอายุ หลายคนตั้งใจจะทำงานจนกว่าสังขารร่างกายจะไม่อำนวย และมีผู้สูงอายุจำนวนมากที่ขอทำงานไปจนกว่าจะหมดลมหายใจ

 


Tags :

CONTRIBUTOR

Related Posts
Copyright © 2020 สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม 73170
โทรศัพท์ 02-441-0201-4 โทรสาร 02-441-9333
Webmaster: piyawat.saw@mahidol.ac.th