ย้อนกลับไปเมื่อ 50 ปีก่อน ภาพจำของครอบครัวไทยคือ ครอบครัวขนาดใหญ่ ที่มีปู่ย่าตายายอยู่ร่วมกับลูกหลาน แต่ละบ้านมักมีลูกมากถึง 5-7 คน ในช่วงนั้นมีความกังวลว่าคนจะล้นโลกและมีทรัพยากรไม่เพียงพอ จนรัฐบาลของไทยในยุคนั้นจึงได้มีนโยบาย "วางแผนครอบครัว" ภายใต้สโลแกน "มีลูกมากจะยากจน" เพื่อลดอัตราการเกิดที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งนโยบายนี้ช่วยลดการ เกิดของเด็กไทยได้เป็นอย่างดี

รูปที่ 1 จำนวนเด็กเกิด พ.ศ. 2492-2568*
แหล่งข้อมูล: สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย
* จำนวนเด็กเกิดของปี 2568 ตั้งแต่ มกราคม - พฤศจิกายน 2568 เท่านั้น
จากข้อมูลการเกิดของสำนักบริหารการทะเบียน เห็นได้ว่า ในปี 2492 มีเด็กเกิดใหม่ราว 5 แสนคน ก่อนที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนทำให้ในช่วงปี 2506-2526 มีเด็กเกิดเกินปีละล้านคน โดยในปี 2514 เป็นปีที่มีเด็กเกิดมากที่สุด จำนวน 1.22 ล้านคน หลังจากนั้นด้วยนโยบายการวางแผนครอบครัว และหลากหลายปัจจัยทางเศรษฐกิจ สังคม ส่งผลให้การเกิดมีแนวโน้มลดต่ำลงเรื่อยๆ จนกระทั่งในปี 2567 มีเด็กเกิดใหม่เพียง 462,240 คนเท่านั้น
นอกจากนี้ ข้อมูลการเกิดจากสำนักบริหารการทะเบียน ตั้งแต่มกราคม - พฤศจิกายน 2568 พบว่ามีเด็กเกิดใหม่เพียง 381,136คนเท่านั้น (ในขณะที่ปีที่แล้ว (มกราคม – พฤศจิกายน 2567) มีเด็กเกิดใหม่ถึง 425,792 คน ซึ่งมากกว่าปี 2568 ถึง 77,106 คน)
นอกจากนี้ ยังอาจจะบอกว่า เราเดินทางกลับมาที่เดิมหรือไม่ ตัวเลขเด็กเกิดใหม่ในปีล่าสุด (2567) กลับไปเท่ากับเมื่อประมาณ 75 ปีก่อน (ปี 2492) ในขณะที่บริบทนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะเมื่อก่อนเรามีประชากรทั้งประเทศประมาณ 18 ล้านคน แต่ปัจจุบันเรามีถึง 66 ล้านคน แต่ทว่ากลับมีเด็กเกิดใหม่ในจำนวนที่เท่ากัน ... หรือนี่เปรียบเสมือนเป็นสัญญาณเตือนว่า เรากำลังจะขาดแคลนกำลังแรงงาน ซึ่งปกติ เป็นผู้รับผิดชอบดูแลประชากรวัยเด็ก และ วัยสูงอายุ ในอนาคตใช่หรือไม่
การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้สูงอายุในประเทศไทย นับว่าเป็นผลลัพธ์จากความก้าวหน้าของการพัฒนาระบบการแพทย์และสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพ ทำให้การรักษาโรคและการดูแลสุขอนามัยครอบคลุมทั่วถึง ส่งผลให้อัตราการเสียชีวิตลดลง คนไทยมีอายุคาดเฉลี่ยที่ยืนยาวขึ้นกว่าในอดีตมาก ในขณะเดียวกันบริบททางสังคมและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไปทำให้อัตราการเกิดใหม่ลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง เมื่อไม่มีประชากรวัยเด็กเข้ามาทดแทนในสัดส่วนที่สมดุล ในขณะที่คนรุ่นก่อนหน้ายังคงมีชีวิตอยู่ยาวนานขึ้น จึงทำให้โครงสร้างประชากรเปลี่ยนรูปและส่งผลให้จำนวนผู้สูงอายุของไทยเพิ่มสะสมสูงขึ้นอย่างรวดเร็วตามมาด้วย

รูปที่ 2 จำนวนและร้อยละของผู้สูงอายุ พ.ศ. 2537 - 2567
แหล่งข้อมูล: การสำรวจประชากรสูงอายุในประเทศไทย พ.ศ. 2567
ข้อมูลจากรายงานการสำรวจประชากรสูงอายุในประเทศไทย พ.ศ. 25671 ชี้ให้เห็นว่า จำนวนประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา จากร้อยละ 6.8 ในปี 2537 เป็น ร้อยละ 20 ในปี 2567 ทั้งนี้กว่าร้อยละ 59 เป็นผู้สูงอายุวัยต้น (60-69 ปี) ความแตกต่างระหว่างเพศ จะเห็นได้ชัดในกลุ่มผู้สูงอายุวัยกลาง และผู้สูงอายุวัยปลาย ที่เป็นเพศหญิงมากกว่าร้อยละ 60

รูปที่ 3 ร้อยละของผู้สูงอายุ จำแนกตามกลุ่มช่วงวัย และเพศ พ.ศ. 2567
แหล่งข้อมูล: การสำรวจประชากรสูงอายุในประเทศไทย พ.ศ. 2567
การสำรวจประชากรสูงอายุในประเทศไทย พ.ศ. 2567 ยังชี้ให้เห็นอีกว่า รูปแบบ การอยู่อาศัยของผู้สูงอายุในประเทศไทยนั้น มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในรูปแบบการอยู่อาศัย โดยเฉพาะสัดส่วนของผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่คนเดียว มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากร้อยละ 3.6 ในปี 2537 เป็นร้อยละ 12.9 (ประมาณ 1.8 ล้านคน) ในปี 2567 รวมทั้งข้อมูลในปี 2567 ยังพบสัดส่วนผู้สูงอายุที่อยู่ลำพังกับคู่สมรสมีถึงร้อยละ 22.6 ซึ่งเป็นไปได้อย่างสูงว่ากลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุเช่นเดียวกัน

รูปที่ 4 ร้อยละของผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียวในครัวเรือน พ.ศ. 2537-2567
แหล่งข้อมูล: การสำรวจประชากรสูงอายุในประเทศไทย พ.ศ. 2567

รูปที่ 5 ร้อยละของผู้สูงอายุ จำแนกตามลักษณะการอยู่อาศัย พ.ศ.2567
แหล่งข้อมูล: การสำรวจประชากรสูงอายุในประเทศไทย พ.ศ. 2567
จากข้อมูลการหกล้มของผู้สูงอายุ ในปี 2567 พบว่า ในภาพรวมผู้สูงอายุมีอัตราการหกล้มอยู่ที่ร้อยละ 5.6 โดยเพศหญิงมีความเสี่ยงสูงกว่าเพศชายอย่างเห็นได้ชัด (ร้อยละ 6.3 และ 4.8 ตามลำดับ) และเมื่อพิจารณาตามช่วงวัยจะเห็นแนวโน้มว่า ยิ่งอายุเพิ่มขึ้น อัตราการหกล้มจะยิ่งสูงตามไปด้วย โดยขยับจากร้อยละ 4.7 ในผู้สูงอายุวัยต้น (60-69 ปี) ขึ้นไปสูงสุดที่ร้อยละ 8.8 ในผู้สูงอายุวัยปลาย (80 ปีขึ้นไป) ซึ่งสูงเป็นเกือบสองเท่าของวัยต้น นอกจากนี้ สิ่งที่น่ากังวลคือกลุ่มวัยปลายยังมีสัดส่วนการ "หกล้มซ้ำ" (มากกว่า 1 ครั้ง) สูงที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ผู้สูงอายุเพศหญิงและผู้ที่มีอายุ 80 ปีขึ้นไป เป็นกลุ่มเปราะบางที่ต้องได้รับการดูแลและป้องกันการหกล้มเป็นพิเศษ

รูปที่ 6 ร้อยละของผู้สูงอายุที่หกล้ม จำแนกตามจำนวนครั้งที่หกล้ม เพศ และกลุ่มช่วงวัย พ.ศ.2567
แหล่งข้อมูล: การสำรวจประชากรสูงอายุในประเทศไทย พ.ศ. 2567
การหกล้มในผู้สูงอายุ นับว่าเป็นผลกระทบลูกโซ่ที่ส่งผลต่อสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยอาจจะทำให้กระดูกสะโพกหัก หรือเลือดออกในสมอง ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ผู้สูงอายุต้องกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงหรือทุพพลภาพถาวร เสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนอย่างแผลกดทับและปอดอักเสบตามมาด้วย ส่วนด้านจิตใจ จะเกิดความหวาดกลัวการล้มซ้ำจนไม่กล้าเคลื่อนไหว ทำให้ร่างกายยิ่งทรุดโทรมและเกิดภาวะซึมเศร้าได้
นอกจากนี้ ในกลุ่มผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ตามลำพัง หากเกิดการล้มจะยิ่งทวีความรุนแรงและน่ากังวลเป็นพิเศษ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะ "ล้มแล้วลุกไม่ได้ และไม่มีใครพบเห็น" ทำให้ต้องนอนเจ็บอยู่บนพื้นเป็นเวลานาน ซึ่งภาวะนี้อันตรายมากเพราะอาจนำไปสู่ภาวะขาดน้ำและเสียชีวิตได้ แม้ว่าการบาดเจ็บเริ่มต้นอาจจะไม่ถึงแก่ชีวิตก็ตาม
ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นต้นแบบของสังคมสูงวัยแห่งหนึ่งของโลก เป็นสังคมสูงวัยระดับสุดยอดแล้ว (Super-Aged Society) มีคำเรียกปรากฏการณ์การตายอย่างโดดเดี่ยวนี้ว่า "โคโดคุชิ" (Kodokushi) ที่หมายถึง การตายลำพังโดยไม่มีใครรู้จนกว่าเวลาจะผ่านไปนาน นับว่าเป็นสิ่งที่น่ากังวลท่ามกลางจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขนาดครัวเรือนเล็กลง รวมทั้งความสัมพันธ์ทางสังคมที่อ่อนแอลง2
รายงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติญี่ปุ่นในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2024 ได้ทำหน้าที่เป็นกระจกบานใหญ่ สะท้อนภาพความเป็นจริงอันน่าเศร้าในปัจจุบัน เมื่อตัวเลขสถิติเผยให้เห็นว่า มีผู้คนที่อาศัยอยู่ตามลำพังถึง 37,227 ราย ถูกพบว่าเสียชีวิตลงอย่างเงียบเชียบภายในบ้านของตนเอง
เมื่อเจาะลึกลงไปในกลุ่มผู้เสียชีวิตเหล่านี้ ข้อมูลได้ตอกย้ำให้เห็นถึงความเปราะบางของผู้สูงอายุอย่างชัดเจน โดยกว่าร้อยละ 70 ของผู้เสียชีวิตทั้งหมด เป็นผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป และหากจำแนกตามช่วงวัยจะพบว่า กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงสุดคือผู้ที่มีอายุ 85 ปีขึ้นไป ซึ่งมีจำนวนผู้เสียชีวิตสูงถึง 7,498 ราย รองลงมาคือกลุ่มช่วงอายุ 75-79 ปี (5,920 ราย) และกลุ่มอายุ 70-74 ปี (5,635 ราย) ตามลำดับ
นอกจากนี้ ความสะเทือนใจมากที่สุด อาจจะไม่ใช่เพียงแค่ยอดผู้เสียชีวิตเท่านั้น แต่เป็น "ระยะเวลา" ที่ไม่มีใครจัดการร่างของพวกเขา
แม้ว่าประมาณร้อยละ 40 ของผู้เสียชีวิตจะโชคดีที่มีผู้มาพบร่างภายในหนึ่งวัน แต่ก็ยังมีคนจำนวนมากที่ถูกความโดดเดี่ยวกลืนกินจนสังคมลืมเลือนไป ข้อมูลได้ชี้ให้เห็นว่า มีร่างผู้เสียชีวิตเกือบ 4 พันราย ที่ถูกปล่อยทิ้งไว้นานกว่า 1 เดือนกว่าจะมีคนมาพบ และที่น่าสลดใจยิ่งไปกว่านั้น คือมีผู้เสียชีวิตถึง 130 ราย ที่กว่าจะถูกพบศพก็นานถึง 1 ปี หรือมากกว่านั้น3
ตัวเลขการตายอย่างโดดเดี่ยวที่มากเหล่านี้ ส่วนหนึ่งมาจากวัฒนธรรมความเกรงใจที่ผู้สูงอายุไม่อยากเป็นภาระลูกหลานหรือเพื่อนบ้าน จึงเลือกที่จะแยกตัวมาอยู่เพียงลำพัง และตัดขาดจากสังคม เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินจึงไม่มีใครช่วยเหลือได้ทันนั่นเอง
ในปัจจุบันข้อมูลสถิติการตายอย่างโดดเดี่ยวในประเทศไทย ยังไม่มีหน่วยงานรัฐหน่วยงานใดจัดเก็บตัวเลขสถิติผู้เสียชีวิตในลักษณะนี้ แยกออกมาโดยเฉพาะเหมือนอย่างประเทศญี่ปุ่น แต่หากลองค้นหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตก็จะพบข่าวการตายอย่างโดดเดี่ยวของผู้สูงอายุอยู่พอสมควร
ตาราง สรุปข่าวส่วนหนึ่งของผู้สูงอายุไทยที่ตายอย่างโดดเดี่ยว จากการรวบรวมข้อมูลจาก Gemini
| ปี | เดือน/วันที่ | รายละเอียดเหตุการณ์ | สาเหตุเบื้องต้น |
| 2568 | พ.ย. | ยายวัย 85 ปี จมน้ำเสียชีวิตในบ้านพักที่ถูกน้ำท่วมขังเพียงลำพัง จ.นครศรีธรรมราช | อุบัติเหตุลื่นล้มและจมน้ำ (ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้) |
| ส.ค. | ตาวัย 81 ปี นอนเสียชีวิตบริเวณหลังบ้าน จ.บุรีรัมย์ คาดเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 5 วัน | คาดว่าเป็นลม/โรคประจำตัว (ไม่มีคนเห็น) | |
| เม.ย. | หญิงวัย 61 ปี นอนเสียชีวิตปริศนาในห้องพัก อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี | โรคประจำตัวกำเริบ | |
| 2567 | ก.ย. | ยายวัย 85 ปี (สมองเสื่อม) หายออกจากบ้าน พบเป็นศพในรถเก่าที่จอดทิ้งไว้ จ.นนทบุรี | ขาดอากาศหายใจ (ติดอยู่ในรถ) |
| เม.ย. | ยายวัย 84 ปี (จ.สมุทรสงคราม) เสียชีวิตในบ้านไม้ชั้นเดียว พบสุนัข 2 ตัวนอนเฝ้าศพไม่ห่าง เพื่อนบ้านได้กลิ่นจึงแจ้งตำรวจ | ลมแดด (Heat Stroke) จากอากาศร้อนจัด | |
| ม.ค. | หญิงวัย 67 ปี อดีตข้าราชการเกษียณ เสียชีวิตในคอนโดฯ เพียงลำพังย่านราษฎร์บูรณะ | โรคประจำตัว | |
| 2566 | ก.ย. | ชายสูงอายุ (พ่อเฒ่า) นอนเสียชีวิตในห้องเช่าจนร่างเริ่มเน่าเปื่อย เพื่อนบ้านได้กลิ่นจึงแจ้งกู้ภัย | โรคประจำตัวกำเริบ |
| ก.ค. | ครูเกษียณ วัย 65 ปี (จ.ตราด) ลูกสาวติดต่อไม่ได้ 4 วัน ให้คนไปดูพบเป็นศพแห้งกรังคาบ้าน | โรคประจำตัว / ดื่มสุราและล้มศีรษะฟาดพื้น | |
| เม.ย. | ชายชราวัย 80 ปี นอนเสียชีวิตในห้องเช่าย่านฝั่งธนบุรี คาดเสียชีวิตมาแล้ว 3 วัน | อากาศร้อน / โรคชรา | |
| 2565 | ธ.ค. | หญิงวัย 60 ปี นอนเสียชีวิตในห้องเช่า จ.อุดรธานี นาน 3 วัน โดยลูกหลานทำงานต่างจังหวัด | โรคประจำตัว |
| 2564 | ก.ค. | ยายมะลิ วัย 64 ปี เสียชีวิตลำพังในบ้านพักชุมชนริมทางรถไฟฯ กทม. หลังติดโควิด-19 และไม่มีเตียงรักษา | ติดเชื้อโควิด-19 / ระบบสาธารณสุขล้น |
| ต.ค. | คุณตาวัย 84 ปี (กทม.) นอนเสียชีวิตในตึกแถวเพียงลำพัง เพื่อนบ้านได้กลิ่นเหม็นเน่ารุนแรง | ติดเชื้อโควิด-19 / โรคชรา | |
| 2563 | พ.ย. | อดีตข้าราชการครู (จ.เชียงใหม่) เสียชีวิตในบ้านหรูเพียงลำพัง นานกว่า 2 สัปดาห์ จนร่างแห้ง สุนัขที่เลี้ยงไว้นอนเฝ้าจนผอมโซ | โรคประจำตัว |
สำหรับสถาการณ์การตายอย่างโดดเดี่ยวในประเทศไทยนั้น เกิดจากปัจจัยที่มีลักษณะคล้ายกับของประเทศญี่ปุ่น ครอบครัวเปลี่ยนจากครอบครัวขยายเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น ลูกหลานแยกย้ายไปทำงานต่างถิ่น พ่อแม่จึงอยู่ตามลำพัง สุขภาพร่างกายที่ไม่แข็งแรงเหมือนวัยหนุ่มสาว การเจ็บป่วยฉุกเฉิน เกิดอุบัติเหตุการลื่นล้ม ซึ่งหากมีคนอยู่ด้วยอาจช่วยชีวิตได้ทัน รวมทั้งการตัดขาดจากชุมชน โดยเฉพาะผู้สูงอายุในเมืองใหญ่ หรือหมู่บ้านจัดสรร มักมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านน้อย ทำให้เมื่อหายตัวไปจึงไม่มีใครสังเกตเห็นได้ทันท่วงที จนกว่าจะได้กลิ่น หรือเห็นความผิดปกติอื่น เช่น ไฟเปิดทิ้งไว้ หรือไม่ออกมาหน้าบ้าน "การมีลูกหลาน ไม่ได้การันตีว่าจะไม่ตายอย่างโดดเดี่ยว” ทั้งนี้ การเสียชีวิตลักษณะนี้ไม่ได้เกิดจากการทอดทิ้งเสมอไป แต่เกิดจากวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปนั่นเอง
การที่มีข่าวการตายอย่างโดดเดี่ยวของผู้สูงอายุออกมาเรื่อยๆ นั้น ก็สร้างความวิตกกังวลให้กับผู้สูงอายุ และคนที่ใกล้จะเป็นผู้สูงอายุอยู่ไม่น้อย ผู้เขียนได้มีโอกาสพูดคุยกับชายที่อยู่ในวัยใกล้จะเป็นผู้สูงอายุท่านหนึ่ง ขอให้ชื่อนามสมมุติว่า คุณเอ
“คุณเอ ได้สะท้อนความวิตกกังวลให้ฟังว่า เมื่อมีข่าวเช่นนี้ ทำให้ตนเองก็กังวลกับอนาคตอยู่ไม่น้อย กลัวว่าตนเองจะตายคนเดียวอย่างโดดเดี่ยว ไม่มีคนรู้คนเห็น หากหายไปนานๆ เพื่อนบ้านก็น่าจะไม่รู้ เพราะที่ผ่านมาก็ไม่เคยพูดคุยกับเพื่อนข้างบ้าน เช้าก็ออกไปทำงาน กว่าจะกลับเข้าบ้านก็ค่ำมากแล้วไม่ได้มีโอกาสเจอกัน นอกจากนี้ตนเองมีเพียงตัวคนเดียว เป็นโสดและไม่คิดจะมีครอบครัว แม้ว่าจะยังมีญาติพี่น้อง แต่ก็รู้สึกว่าไม่มี เนื่องจากออกมาใช้ชีวิตเพียงลำพังตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลาย และจะพยายามที่จะไม่พึ่งพาญาติพี่น้องของตนเองในอนาคต ปัจจุบันก็พยายามที่จะดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจของตัวเองให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ อยู่ตามลำพังให้ได้ พยายามเก็บเงินไว้ส่วนหนึ่งสำหรับตนเองในวัยสูงอายุ หากไม่สามารถดูแลตัวเองได้แล้วก็คิดว่า จะหาสถานที่ที่รับดูแลผู้สูงอายุ”
สำหรับประเทศไทยเอง นับได้ว่ามี "ระบบพี่เลี้ยงชุมชน" ที่อาจจะเป็นระบบที่มาช่วยลดการตายอย่างโดดเดี่ยวได้ โดยในปีงบประมาณ 2568 มีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) กระจายตัวอยู่ในชุมชนจำนวน 1,075,163 คนทั่วประเทศ4 อสม. เปรียบเสมือน หมอคนที่ 1 ของชุมชน ช่วยดูแลสุขภาพเชิงรุกในพื้นที่ โดยมีบทบาทสำคัญคือ แจ้งข่าวร้าย กระจายข่าวดี ชี้บริการ ประสานงานสาธารณสุข บำบัดทุกข์ประชาชน และเป็นแบบอย่างที่ดี ในการดูแลสุขภาพของตนเองและครอบครัว เช่น ดูแลผู้สูงอายุ เด็ก สตรีมีครรภ์ ผู้พิการ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ติดตามให้ได้รับวัคซีน และเฝ้าระวังปัญหาสุขภาพต่างๆ ในชุมชน5
อสม. คือ กลไกที่ทรงพลังในการหยุดยั้งการตายอย่างโดดเดี่ยวได้ การเยี่ยมบ้านนับว่าเป็นการทำหน้าที่ "สแกนชีวิต" ได้ บทสนทนาทั่วๆ ไป เช่น "ยาย... วันนี้กินข้าวกับอะไร?" หรือ "ตา... วันนี้สบายดีไหม?" หากบ้านไหนเงียบผิดปกติ ไฟหน้าบ้านเปิดทิ้งไว้ข้ามวัน หรือเสื้อผ้าที่ตากไว้ไม่ถูกเก็บ อสม. จะเป็นคนกลุ่มแรกที่ "เอะใจ" และกล้าที่จะเข้าไปตรวจสอบทันที
แต่ทว่าในบริบทสังคมเมือง นับว่าเป็นความท้าทายจุดใหญ่ แม้เราจะมีระบบ อสม. (หรือ อสส. ในกรุงเทพฯ) แต่โครงสร้างของเมืองได้สร้าง "กำแพงที่มองไม่เห็น" ขึ้นมา ระบบรักษาความปลอดภัยของคอนโดมิเนียม รั้วบ้านที่ปิดมิดชิด ระบบหมู่บ้าน และวิถีชีวิตแบบต่างคนต่างอยู่ ทำให้เสียงเรียกของ อสม. ส่งไปไม่ถึง กริ่งหน้าบ้านอาจดังแต่ไม่มีคนตอบรับ และด้วยความเกรงใจหรือกฎระเบียบ ทำให้ไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบภายในได้โดยง่าย ผู้สูงอายุในเมืองหลวงจึงยังคงเป็น "จุดบอด" ที่เสี่ยงต่อการตายอย่างโดดเดี่ยวมาก แม้จะมีคนอาศัยอยู่รอบข้างนับร้อยห้องก็ตาม
การแก้ปัญหา “การตายอย่างโดดเดี่ยว” คงไม่สามารถแก้ได้ด้วยหน่วยงานเดียว อาจจะต้องใช้ “ตาข่ายรองรับทางสังคม” ที่ผสมผสานทั้ง น้ำใจคนไทย และ เทคโนโลยี เข้าด้วยกัน อาทิ
เอกสารอ้างอิง
