The Prachakorn

เมืองที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ


กาญจนา ตั้งชลทิพย์

25 กุมภาพันธ์ 2563
1,629



ความเป็นเมืองและผู้สูงอายุเป็นปรากฏการณ์ทางประชากรที่นับวันจะมีความสำคัญมากขึ้น การเพิ่มขึ้นของเมืองและผู้สูงอายุ มีผลต่อนโยบายเมือง และผู้สูงอายุในอนาคต โดยเฉพาะการจัดการเมืองให้เป็นเมืองน่าอยู่สำหรับผู้สูงอายุ

ภาพของเมืองที่มีตึกรามบ้านช่องใหญ่โต หรือสูงเสียดฟ้า สลับกับบ้านจัดสรร ตึกแถว อาคารพาณิชย์ แทรกด้วยชุมชนที่มีความแออัดหนาแน่น มีถนนหนทางที่คับคั่งด้วยรถยนต์ ผู้คนมากมาย มีผู้สูงอายุในเมืองที่แข็งแรงช่วยเหลือตัวเองได้ ทำงานและมีความสุขในการทำงาน ขณะเดียวกัน มีผู้สูงอายุท่าทางเหงาหงอยเพราะไม่มีอะไรทำ โดดเดี่ยว ไปไหนมาไหนไม่ได้ เพราะไม่สะดวกในการเดินทาง หรือเพราะเจ็บป่วยมีผู้สูงอายุที่ยังต้องทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว เป็นภาพความขัดแย้งที่เห็นได้ทั่วไปในเมือง จึงเกิดคำถามว่า จะทำอย่างไรให้ผู้สูงอายุสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่มีการขยายตัวของความเป็นเมืองได้อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความสุข

Image by Gerd Altmann from Pixabay

ความเป็นเมืองของไทยอยู่ที่เท่าไร

ความเป็นเมือง หมายถึง สัดส่วนหรือร้อยละของประชากรที่อาศัยอยู่ในเมือง (เขตเทศบาล) ข้อมูลจากการสำ.มะโนประชากร พบว่า ช่วงเวลาเพียงครึ่งศตวรรษ ความเป็นเมืองของไทยเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 12.5 ใน พ.ศ. 2503 เป็นร้อยละ 44.0 ใน พ.ศ. 2553 และมีการคาดประมาณว่าความเป็นเมืองของไทยเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 55.91 ใน พ.ศ. 2562 ซึ่งหมายความว่า ขณะนี้กว่าครึ่งหนึ่งของคนไทยอาศัยอยู่ในเมือง2

แล้วผู้สูงอายุที่อยู่ในเมืองมีเท่าไร

การก้าวย่างสู่สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ที่หมายถึง การมีผู้สูงอายุมากกว่าร้อยละ 20 ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าส่งผลถึงการเพิ่มขึ้นของผู้สูงอายุที่อยู่ในเมืองเช่นกัน ข้อมูลจากการคาดประมาณประชากรของประเทศไทย3 พบว่า ประชากรในเขตเมืองที่เป็นผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นจากจำนวนประมาณ 3.9 ล้านคน (ร้อยละ 13.1) ใน พ.ศ. 2555 เป็น 5.4 ล้านคน (ร้อยละ 15.6) ใน พ.ศ. 2560 และจะเพิ่มเป็น 14.3 ล้านคน (ร้อยละ 29.7) ใน พ.ศ. 2580 เป็นการเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าตัวในเวลา 25 ปี ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นว่า เมืองของไทยเข้าสู่การเป็นสังคมสูงอายุแล้ว และในอีกประมาณ 4-5 ปี เมืองก็จะเข้าสู่การเป็นสังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ (ภาพ)

สร้างเมืองอย่างไรให้เหมาะกับผู้สูงอายุ

ความเป็นผู้สูงอายุ สะท้อนถึงความเสื่อมถอยลงของร่างกายตามอายุที่เพิ่มขึ้น ขณะที่คนมีอายุยืนยาวขึ้น จึงจำเป็นต้องมีการเตรียมการเพื่อเป็นผู้สูงอายุที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยเฉพาะผู้สูงอายุในเมืองที่มีจำนวนและสัดส่วนมากขึ้นเรื่อย ๆ องค์การอนามัยโลก (WHO) เริ่มมีแนวคิดเมืองและชุมชนที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ (Age-friendly cities and communities) มาตั้งแต่ ค.ศ. 2005 โดยเน้นการสร้างเมืองเพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถใช้ชีวิตร่วมกันกับทุกคนในสังคมเมืองได้อย่างเท่าเทียม ปลอดภัย และมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยมีองค์ประกอบเมืองที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ4 8 องค์ประกอบ ดังนี้

  1. สภาพอาคารสถานที่และพื้นที่บริเวณภายนอก (Outdoor spaces & buildings) การออกมาใช้ชีวิตและมีกิจกรรมนอกบ้านส่งผลดีต่อสุขภาพทั้งกายและใจของผู้สูงอายุ จึงต้องมีการตระเตรียมพื้นที่ที่เหมาะสมให้ เช่น การมีทางเดินเท้าที่เอื้อต่อผู้สูงอายุ การมีพื้นที่สีเขียว พื้นที่สาธารณะเพื่อพักผ่อน สันทนาการ การมีสัญญาณไฟที่เอื้อต่อการข้ามถนนของผู้สูงอายุ 
  2. ระบบขนส่งและยานพาหนะ (Transportation) เมืองต้องมีระบบขนส่งที่เอื้อต่อการเดินทางของผู้สูงอายุ โดยเฉพาะระบบขนส่งสาธารณะ อย่างที่เมืองโทยามะของญี่ปุ่นที่มีระบบไฟฟ้ารางเบาที่ออกแบบพื้นของรถรางให้ต่ำเป็นพิเศษเพื่อให้ผู้สูงอายุและผู้ใช้รถเข็นก้าวขึ้นลงได้สะดวก5 หรือการจัดที่จอดรถสำหรับผู้สูงอายุ
  3. ที่อยู่อาศัย (Housing) ผู้สูงอายุมีความสามารถในการเคลื่อนไหวลดลง ที่พักอาศัยที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งจำเป็น นอกจากนี้ สถานการณ์เศรษฐกิจและสังคมของสังคมเมืองอาจทำให้ผู้สูงอายุต้องอยู่ตามลำพัง จึงควรมีบ้านพักที่มีการออกแบบ และมีสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อผู้สูงอายุ รวมถึงการมีระบบการดูแลจากชุมชน หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
  4. การเข้าไปมีส่วนร่วมกิจกรรมทางสังคม (Social participation) การมีส่วนร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ทำให้ผู้สูงอายุได้แสดงความสามารถ ความสนใจ ควรมีกิจกรรมที่สนับสนุนให้ผู้สูงอายุมีส่วนร่วม ซึ่งจะส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ
  5. การให้ความเคารพและการยอมรับ (Respect and social inclusion) ผู้สูงอายุควรมีโอกาสมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับคนรุ่นต่าง ๆ รวมถึงการไม่มีอคติต่อการเป็นผู้สูงอายุ
  6. การมีส่วนร่วมในฐานะพลเมืองและการจ้างงาน (Civic participation and employment) ผู้สูงอายุจำนวนมากมีความรู้ ความสามารถ และศักยภาพที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม จึงควรมีโอกาสได้รับการจ้างงาน มีช่องทางได้ทำงานตามอัตภาพ โดยเฉพาะผู้สูงอายุวัยต้น (60-69 ปี) เช่น การขยายอายุเกษียณ ส่งเสริมการสร้างงาน และการจ้างงาน รวมถึงการสร้างแรงจูงใจการทำงานให้ผู้สูงอายุ
  7. การสื่อสารและเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศ (Communication & information) การเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ทั้งเพื่อการเรียนรู้ และการสื่อสาร เช่น การใช้ไลน์ (LINE) อย่างไรก็ตาม ต้องมีกระบวนการคุ้มครองผู้สูงอายุไม่ให้ถูกหลอกลวงจากการใช้ข้อมูลสารสนเทศ
  8. การสนับสนุนของชุมชนและการบริการสุขภาพ (Community support and health services) ควรมีการดำเนินการเพื่อให้ผู้สูงอายุเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ รวมถึงการดูแลผู้สูงอายุระยะยาว

องค์ประกอบทั้ง 8 ของ WHO เป็นการเสนอแนวทางเพื่อให้เกิดเมืองที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ สำหรับประเทศไทย แม้มีการเคลื่อนไหว ผลักดัน หรือดำเนินการตามแนวทางไปบ้างแล้วในบางองค์ประกอบ แต่ยังมีอีกหลายองค์ประกอบที่อาจต้องใช้เวลาในผลักดันให้เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ขณะที่เราสร้างเมืองเพื่อผู้สูงอายุ ก็ควรมีการสร้างเมืองเพื่อเตรียมการประชากรเมืองให้เป็นผู้สูงอายุที่มีสุขภาพที่ดีในอนาคตไปพร้อม ๆ กันด้วย


1 สถาบันวิจัยประชากรและสังคม. (2562). สารประชากรมหาวิทยาลัยมหิดล. สืบค้นเมื่อ วันที่ 6 มกราคม 2563 จาก http://www.ipsr.mahidol.ac.th/ipsrbeta/th/Gazette.aspx
การศึกษาเรื่องเมืองมีความซับซ้อนจากคำจำกัดความของคำว่าเมืองที่ต่างกัน โดยแต่ละประเทศ/ แต่ละพื้นที่กำหนดความหมายของ “เมือง” ไว้เหมือนกันบ้าง ต่างกันบ้าง จึงทำให้ยากที่จะเปรียบเทียบความเป็นเมืองระหว่างกันได้ สำหรับประเทศไทย เมืองหมายถึง เขตเทศบาล ซึ่งการใช้เทศบาลก็เคยเป็นความซับซ้อนในการศึกษาความเป็นเมืองของไทย จากการเปลี่ยนแปลงคำจำกัดความของเทศบาล 
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  (สศช.). (2562). รายงานการคาดประมาณประชากรของประเทศไทย พ.ศ. 2553 – 2583 (ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพฯ : บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน)
WHO. (2007). Global Age-friendly Cities: A Guide. France: World Health Organization.
แซมสุดา เข้มงวด. (2560). ไม่ใช่แก่เกินแกง แต่แก่เกินเมือง: ว่าด้วยเมือง ผู้สูงอายุ และอนาคต. สืบค้นเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2563 จาก http://uddc.net/th/knowledge


Tags :

CONTRIBUTOR

Related Posts
Copyright © 2020 สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม 73170
โทรศัพท์ 02-441-0201-4 โทรสาร 02-441-9333
Webmaster: piyawat.saw@mahidol.ac.th