คุณเคยได้ยินคำพูดทำนองนี้บ้างไหม คำพูดที่เปรียบเทียบคนในแต่ละยุคแต่ละสมัย ว่าคนรุ่นนั้นเป็นอย่างนั้น คนรุ่นนี้เป็นอย่างนี้ คำอาจจะคุ้นหูอยู่บ้าง เช่น “เด็กสมัยนี้...ใช้เทคโนโลยีกันเก่งจังเลย” หรือ “คนสมัยนี้ทำไมไม่ขยันทำงานกันเลย ไม่เหมือนสมัยก่อน”
จริงหรือไม่ ที่คนแต่ละยุคแต่ละสมัยมีลักษณะนิสัยไม่เหมือนกัน? จริงหรือไม่ ที่คนรุ่นนี้ไม่เหมือนคนรุ่นก่อน?
ทฤษฎีเจเนอเรชัน เป็นทฤษฎีที่มีการถกเถียงกันมานาน โดยแนวคิดมีอยู่ว่า กลุ่มคนที่มีอายุไล่เลี่ยกัน จะเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่คล้ายคลึงกันในช่วงเวลาเดียวกัน และได้ผ่านเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์บางอย่างมาร่วมกัน ซึ่งบริบททางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมเหล่านี้เป็นตัวหล่อหลอมให้คนใน “ยุค” นั้นมีทัศนคติ มุมมอง และลักษณะนิสัยที่เป็นเฉพาะตัวของคนรุ่นนั้น
ตามหลักทฤษฎีนี้ สหรัฐอเมริกาได้แบ่งคนเป็นเจเนอเรชันตามปีเกิด โดยแต่ละเจเนอเรชันมีประสบการณ์การเติบโต
ที่แตกต่างกัน ทำให้มีอุปนิสัยที่แตกต่างกันไปดังนี้
ตัวอย่างเจเนอเรชันที่ยกมาในข้างต้นนี้เป็นเพียงเจเนอเรชันหลักๆ แต่ในปัจจุบันสามารถแบ่งเจนอื่นๆ อีกมากมาย ทฤษฎีเจเนอเรชันได้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในการทำการตลาดที่ต้องการเจาะกลุ่มคนในแต่ละช่วงวัย ทฤษฎีเจเนอเรชันทำให้ธุรกิจเข้าใจลักษณะนิสัย ค่านิยม ความคิดความอ่านของแต่ละรุ่นได้ดียิ่งขึ้น ทำให้สามารถสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่มได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ทฤษฎีเจเนอเรชันมักถูกใช้สำหรับการบริหารจัดการบุคลากรในองค์กรที่มีพนักงานหลากหลายรุ่น เพื่อพัฒนาศักยภาพการทำงาน และสร้างความจงรักภักดีต่อองค์กร
อย่างไรก็ตาม การใช้ทฤษฎีเจเนอเรชันควรเป็นไปอย่างระมัดระวัง ผู้ไม่เห็นด้วยกับทฤษฎีเจเนอเรชันมองว่าความแตกต่างบางอย่างของแต่ละรุ่นอาจเป็นเพียงเพราะอายุที่แตกต่างกัน โดยไม่ได้เกี่ยวกับยุคสมัย เพราะคนไม่ว่าจะสมัยใดมักจะมองคนรุ่นอื่นแตกต่างกับตน แม้แต่นักปรัชญาอย่างเพลโตยังเคยกล่าวไว้ตั้งแต่สมัยก่อนคริสตกาล “เกิดอะไรขึ้นกับคนหนุ่มสาว พวกเขาไม่เคารพผู้ใหญ่ และไม่เชื่อฟังพ่อแม่...” เช่นเดียวกันกับปีเตอร์เดอะเฮอร์มิทที่เคยกล่าวไว้เมื่อราว 700 ปีก่อน “...เด็กผู้หญิงทุกวันนี้ โผงผางเกินไป ไม่มีความเป็นกุลสตรีทั้งในการพูดจา พฤติกรรม และการแต่งตัว” ซึ่งคำพูดเหล่านี้ไม่ได้แตกต่างกับสิ่งที่ผู้ใหญ่บ่นเด็กทุกวันนี้เลย
นอกจากนี้ การแบ่งกลุ่มเจเนอเรชันที่ได้นำเสนอมาในข้างต้นนี้เป็นการแบ่งตามหลักเกณฑ์ของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งอ้างอิงตามเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา แต่อาจไม่เหมาะกับการประยุกต์ใช้กับสังคมไทย เนื่องจากคนไทยไม่ได้ร่วมประสบกับเหตุการณ์เหล่านี้กับคนในสหรัฐอเมริกาเสมอไป ตัวอย่างเช่น กลุ่มเบบี้บูมเมอร์ของสหรัฐอเมริกาคือ ผู้ที่เกิดระหว่างปี 2486-2503 ซึ่งเป็นช่วงที่จำนวนการเกิดในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนกระทั่งถึงจุดสูงสุด แต่สำหรับประเทศไทยแล้วจำนวนการเกิดเริ่มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงปี 2490 และถึงจุดสูงสุดประมาณปี 2515 ซึ่งช้ากว่าสหรัฐอเมริกา ดังนั้นคนยุคเบบี้บูมของประเทศไทยที่แท้จริง อาจมีปีเกิดไม่เหมือนกับเกณฑ์ของโลกตะวันตกก็เป็นได้ อย่างไรก็ดีเมื่อโลกแคบลงด้วยเทคโนโลยี เจนไทยกับเจนของโลกคงไม่แตกต่างกันมากนัก