“เราจะต้องเจอต้นทับทิมเยอะแน่ที่เมืองกรานาดา” ความคิดนี้แวบขึ้นทันทีเมื่อเดินทางมาถึงกรานาดา (Granada) เมืองตอนใต้ของประเทศสเปน เพราะชื่อเมืองกรานาดาในภาษาสเปนหมายความว่า ต้นทับทิม จึงทำให้ทับทิมเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้
ในวันแรกๆ ที่เดินสำรวจแถวที่พัก ผู้เขียนแอบสังเกตเห็นต้นส้มปลูกเรียงรายไปตลอดทางเดินเท้า เป็นต้นส้มที่มีผลส้มลูกใหญ่โต สีส้มสดใสท่ามกลางใบไม้สีเขียวของต้นส้ม เรียกได้ว่าต้องร้องโอ้โหกันทีเดียว ตามประสาคนไม่เคยเห็นต้นส้มสูงใหญ่ที่ปลูกตามข้างถนน หลังจากผ่านไปหนึ่งวัน เริ่มเกิดความสงสัยว่าเราจะได้เจอต้นทับทิมเหมือนที่คิดหวังไว้หรือไม่นะ ในช่วงวันต่อๆ มา ระหว่างเดินลัดเลาะเที่ยวเล่นรอบเมืองได้เห็นว่าเมืองทับทิมแห่งนี้เต็มไปด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรม ตั้งแต่พระราชวัง Alhambra ที่ประทับของกษัตริย์มุสลิมในอดีต ทำให้ได้เห็นศิลปะแบบอิสลามที่มีการแต่งลวดลายแบบเรขาคณิตเป็นส่วนใหญ่ มหาวิหารกรานาดาของศาสนาคริสต์ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นมหามัสยิดมาก่อน
ระหว่างเดินหาต้นทับทิมและเดินสำรวจวิถีชีวิตของผู้คนมาเรื่อยๆ จนมาถึงถิ่นที่อยู่อาศัยเดิมของชาวอาหรับ ขยับเท้าต่อไปถึงย่านชาวยิว ต้องยอมรับว่าแม้เส้นทางเดินจะเป็นเนินเขาไต่ขึ้นก็ตาม แต่ความสวยงามของอาคารบ้านเรือนแบบโบราณที่มีเอกลักษณ์การตกแต่งแบบยิปซี ด้วยผนังนอกบ้านสีขาวประดับประดาด้วยจานกระเบื้องที่มีสีสัน ทำให้ไม่รู้สึกเมื่อยขาจนอยากพักแต่อย่างใด ระหว่างเดินกลับที่พักยังได้เห็นการเต้นรำ flamenco ที่เป็นการผสมรูปแบบการเต้นรำหน้าท้องแบบอาหรับ จึงไม่แปลกใจที่กรานาดาจะเป็นเมืองแห่งความหลากวัฒนธรรมที่น่าเดินสำรวจไปแทบทุกจุดของเมือง และในที่สุดก่อนที่จะเดินทางกลับประเทศไทย ก็ได้เห็นต้นทับทิมที่ถูกปลูกอย่างตั้งใจในบริเวณพื้นที่ของ University of Granada และความคิดก็แวบขึ้นมาอีกรอบ “เรามาถึงเมืองกรานาดาแล้วสินะ”
รูป: ต้นทับทิมที่ปลูกใน University of Granada
รูปโดย: สุภรต์ จรัสสิทธิ์
ที่มา ภาพปกจาก https://inspain.news/history-of-the-university-of-granada/ สืบค้น 14 มิถุนายน 2566