อุตสาหกรรมอาหารเป็นภาคธุรกิจที่มีบทบาทสำคัญต่อทั้งเศรษฐกิจและสุขภาพของประชาชน จากบทความเรื่อง “7 กลยุทธ์ของบริษัทอาหารแปรรูปในประเทศไทย” ได้รวบรวมและสรุปเป็น 7 กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจอาหาร” โดยมุ่งอธิบายว่า กลยุทธ์เหล่านี้มีที่มาอย่างไร ใช้ในบริบทใด และมีผลเชิงบวกหรือลบต่อสุขภาพประชาชนอย่างไร ซึ่งประกอบด้วย (1) กลยุทธ์ด้านการเมือง (2) กลยุทธ์ด้านวิทยาศาสตร์ (3) กลยุทธ์ด้านการตลาด (4) กลยุทธ์ด้านห่วงโซ่อุปทานและการจัดการของเสีย (5) กลยุทธ์ด้านแรงงานและการจ้างงาน (6) กลยุทธ์ด้านการจัดการทางการเงิน และ (7) กลยุทธ์การบริหารจัดการชื่อเสียง กลยุทธ์เหล่านี้ไม่เพียงกำหนดทิศทางการแข่งขันในตลาด แต่ยังเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลโดยตรงต่อพฤติกรรมการบริโภคและภาวะสุขภาพของสังคม อีกทั้ง บริษัทอาหารฯ ใช้กลยุทธ์ทั้ง 7 กลยุทธ์นี้ เพื่อขยายอิทธิพลและปกป้องผลประโยชน์ทางธุรกิจ1 บทความนี้ผู้เขียนชวนคุณผู้อ่านติดตามต่อว่า การดำเนินกลยุทธ์เหล่านี้ของบริษัทอาหารฯ ส่งผลกระทบทั้งด้านบวกและลบต่อคนในสังคมไทย1 อย่างไรบ้าง?
บริษัทอาหารฯ ใช้กลยุทธ์ทางกฎหมาย เช่น การฟ้องปิดปากต่อบุคคลหรือองค์กรที่ตรวจสอบบริษัท สร้างบรรยากาศแห่งความหวาดกลัว (chilling effect) และลดเสรีภาพในการแสดงออก อีกทั้งมีบทบาทในการผลักดันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเจรจาข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศที่เอื้อต่อภาคธุรกิจแต่ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมและอธิปไตยของประเทศไทย เช่น การที่ประเทศไทยกลายเป็นจุดรับขยะพลาสติกและอิเล็กทรอนิกส์จากญี่ปุ่นและประเทศอื่นๆ อันเป็นผลพวงจากเงื่อนไขในข้อตกลงความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระหว่าง ประเทศไทยและต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังมีการเสนอนโยบายทดแทนที่ส่งเสริมผลประโยชน์ของตนเอง เช่น การผลักดันการแก้ไขพระราชบัญญัติคุ้มครองพันธุ์พืชที่มีเป้าหมายคุ้มครองพันธุ์พืชของชาวบ้าน พันธุ์พืชชุมชน แต่บริษัทอาหารฯ ต้องการคุ้มครองครอบคลุมถึงพันธุ์พืชของการปรับปรุงพันธุ์ ซึ่งเป็นการขยายสิทธิของบริษัทเมล็ดพันธุ์และนักปรับปรุงพันธุ์ มากกว่าคุ้มครองสิทธิของเกษตรกรหรือพันธุ์พืชชุมชน โดยบริษัทต้องการให้สิทธิเหล่านี้ครอบคลุมไปถึงผลผลิตขั้นต่อไป เช่น หากซื้อเมล็ดมะเขือเทศมาปลูกแล้วนำไปทำซอสขาย อาจต้องจ่ายค่าสิทธิให้บริษัทด้วย สำหรับเกษตรกรสิ่งนี้ก่อให้เกิดความยุ่งยากและภาระในการดำรงชีวิต เช่น ไม่สามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ปลูกในฤดูกาลถัดไปได้ ต้องซื้อใหม่ทุกครั้ง อีกทั้งยังอาจถูกตรวจสอบหรือถูกบังคับให้พิสูจน์แหล่งที่มาของเมล็ดพันธุ์ ซึ่งสะท้อนการเพิ่มอำนาจให้บริษัทอาหารฯ เหนือเกษตรกรรายย่อยและทำลายความหลากหลายทางชีวภาพและสิทธิของคนในชุมชน
ด้านบวก บริษัทอาหารฯ พัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารจากพืช (Plant-based) เป็นการเพิ่มความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรมอาหารไทยให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยให้เกิดการแข่งขันในการพัฒนาและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกสู่ตลาด และะการผลิตอาหารเหล่านี้เน้นความยั่งยืน เช่น การใช้วัตถุดิบจากพืช การลดของเสียในกระบวนการผลิต และการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
ด้านลบ ผลิตภัณฑ์หรือสินค้าของบริษัทอาหารฯ ใช้ผงชูรส สารให้ความหวานสังเคราะห์ และคาเฟอีน ซึ่งหลักฐานทางวิชาการยืนยันถึงความเสี่ยงต่อสุขภาพทั้งระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงบริษัทอาหารฯ เข้าไปมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษามีผลในการสร้างความจงรักภักดีต่อแบรนด์ตั้งแต่ระดับนักเรียน
บริษัทอาหารฯ ใช้กลยุทธ์ทางการตลาดด้วยการใช้ผู้มีชื่อเสียง บรรจุภัณฑ์ และกิจกรรมส่งเสริมการขายผ่านสื่ออินเทอร์เน็ต ส่งผลกระทบต่อการสร้างแรงจูงใจในการซื้อและบริโภคโดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน และเสริมสร้างความภักดีต่อแบรนด์
กลยุทธ์ด้านห่วงโซ่อุปทานเป็นการควบคุมบริษัทที่เป็นผู้ผลิต ขนส่ง หรือกระจายสินค้าของบริษัทอาหารฯ หนึ่งในกลยุทธ์ด้านนี้คือ การทำสัญญาหรือเกษตรพันธสัญญา เพื่อควบคุมผู้ผลิต ส่งผลให้เกษตรกรเกิดภาวะหนี้สินเรื้อรัง การสูญเสียทรัพย์สิน ความเครียดทางจิตใจ และความไร้อำนาจในการต่อรองกับบริษัท ในขณะที่การขยายการผลิตข้ามพรมแดนก่อให้เกิดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ได้แก่ มลพิษข้ามพรมแดน โดยเฉพาะปัญหาฝุ่นละอองจากการเผาซากพืชทางการเกษตร ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่
ด้านบวก บริษัทอาหารฯ มีบทบาทสำคัญต่อโครงสร้างเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในเขต EEC โดยจำนวนแรงงานในภาคการผลิตเพิ่มขึ้นจาก 580,373 คน ในปี 2565 เป็น 608,385 คน ในปี 2566 ค่าจ้างเฉลี่ย 20,176 บาทต่อเดือน แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของบริษัทอาหารเหล่านี้ในการเป็นแหล่งจ้างงานที่มั่นคงและมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง
ด้านลบ แม้บริษัทอาหารฯ เป็นแหล่งจ้างงานสำคัญ แต่กลับมีข้อกังวลด้านสิทธิแรงงาน เนื่องจากบริษัทอาหารฯ มักขัดขวางการรวมตัวและจัดตั้งสหภาพแรงงาน ส่งผลให้กลไกแรงงานไร้ประสิทธิภาพและเกิดการละเมิดสิทธิ อีกทั้งกลไกร้องเรียนที่มีอ้างอิงตามเกณฑ์องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา และหลักการชี้นำขององค์การสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชน แต่กลับขาดความเป็นกลาง เพราะหน่วยงานผู้รับเรื่องแม้เป็นบุคคลที่สาม แต่ยังพึ่งพางบประมาณจากบริษัทอาหารฯ ทำให้แรงงานไม่มั่นใจ ไม่กล้าร้องเรียน และรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม
ด้านบวก การควบรวมกิจการระหว่างบริษัทค้าปลีกและค้าส่งในเครือบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอาหาร ส่งผลดีต่อผู้ประกอบการรายย่อย ทั้งเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และ OTOP โดยช่วยเพิ่มโอกาสเข้าถึงตลาดขนาดใหญ่ มีพื้นที่วางจำหน่ายมากขึ้น ได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมแรกเข้า และสิทธิประโยชน์ด้านสินเชื่อ ทำให้สามารถบริหารกระแสเงินสดและสภาพคล่องทางการเงินได้มั่นคงยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การปรับสูตรเครื่องดื่มเพื่อลดภาษีน้ำตาลตั้งแต่ปี 2566 ช่วยให้บริษัทอาหารฯ ลดต้นทุนและเพิ่มอัตรากำไร โดยคาดว่าอุตสาหกรรมจะเติบโตต่อเนื่องปีละร้อยละ 3–4 ในช่วงปี 2567–2569
ด้านลบ บริษัทอาหารฯ ใช้กลยุทธ์ทางการเงินและธุรกิจที่จำกัดการแข่งขัน เช่น การควบรวมกิจการ การลอกเลียนผลิตภัณฑ์และจดสิทธิบัตรก่อนผู้ประกอบการรายย่อย ตลอดจนพึ่งพาเครือข่ายกับผู้มีอำนาจเพื่อปิดกั้นการฟ้องร้อง ส่งผลให้ผู้ประกอบการรายย่อยถูกกีดกัน ขาดความมั่นใจในการแข่งขัน และทำให้กลไกตลาดบิดเบือนจนเกิดการผูกขาด
แม้บริษัทอาหารฯ แสดงความรับผิดชอบต่อสังคมด้านสิ่งแวดล้อมผ่านกิจกรรมรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์ แต่ในทางปฏิบัติการจัดการพลาสติกยังมีข้อจำกัดสูง ทั้งรีไซเคิลได้เพียงบางชนิด ต้นทุนสูงและประสิทธิภาพต่ำ ทำให้ขยะพลาสติกส่วนใหญ่ยังสร้างผลกระทบต่อระบบนิเวศ เศรษฐกิจ และสังคม เช่น อันตรายต่อสัตว์ทะเล แนวปะการัง การเดินเรือ และการสะสมในห่วงโซ่อาหาร และบริษัทอาหารฯ ใช้กลยุทธ์สร้างความสัมพันธ์กับสื่อ เช่น การสนับสนุนกิจกรรม การพาไปดูงาน และการซื้อพื้นที่โฆษณา รวมถึงการจ้างนักเขียนผีเผยแพร่บทความ ส่งผลให้สื่อมวลชนขาดความเป็นกลาง นำเสนอข้อมูลด้านเดียว และประชาชนไม่ได้รับข้อเท็จจริงที่รอบด้าน
กลุ่มบริษัทอาหารฯ ใช้หลายกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ มิได้ส่งผลเพียงต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่ยังสร้างผลกระทบที่มีนัยสำคัญต่อสุขภาพของสังคมในหลายระดับ ผลกระทบเหล่านี้มีขนาดกว้างขวาง ครอบคลุมตั้งแต่ระดับปัจเจก ครอบครัว ไปจนถึงระบบสุขภาพและเศรษฐกิจมหภาค อีกทั้งยังมีความสำคัญเชิงโครงสร้าง เพราะสะท้อนถึงช่องว่างด้านกฎระเบียบและความท้าทายในการสร้างสมดุลระหว่างผลประโยชน์ทางการค้ากับการคุ้มครองสุขภาพสาธารณะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ภาครัฐที่เกี่ยวข้องต้องตรวจสอบการดำเนินกลยุทธ์ของบริษัทอาหารฯ อย่างเข้มแข็งและจริงจัง ในขณะที่บริษัทอาหารฯ ต้องเปิดเผยข้อมูลการดำเนินกลยุทธ์ของบริษัทฯ เพื่อให้การดำเนินธุรกิจสร้างประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและสังคมไทยอย่างยั่งยืน
เอกสารอ้างอิง