บทความฉลากหวานมันเค็มเดินทางมาถึงตอนที่ 3 แล้ว ในตอนที่ 1 เป็นเรื่องของปัจจัยที่มีผลต่อความเข้าใจฉลากหวานมันเค็มของเด็กไทย ส่วนตอนที่ 2 ได้นำเสนอการเลือกใช้ฉลากหวานมันเค็มและฉลากเขียวเหลืองแดงของเด็กไทย สำหรับตอนที่ 3 นี้ ผู้เขียนขอแนะนำฉลากคำเตือน ซึ่งเป็นฉลากหวานมันเค็มอีกรูปแบบหนึ่ง และประเทศไทยยังไม่ได้มีการนำฉลากรูปแบบนี้มาใช้ในการบอกปริมาณสารอาหารในผลิตภัณฑ์อาหารที่มีภาชนะบรรจุแต่อย่างใด
ฉลากคำเตือนเป็นฉลากหน้าซองอาหารอีกรูปแบบหนึ่งที่ใช้บอกปริมาณน้ำตาล ไขมัน และโซเดียมในอาหารอย่างตรงไปตรงมาและชัดเจน เช่น ไขมันสูง น้ำตาลสูง โซเดียมสูง รวมทั้งใช้สีหรือสัญลักษณ์ในการดึงความสนใจ เช่น สีดำ ขาว หรือสีแดง เพื่อช่วยให้เรารู้ว่าอาหารนั้นหวาน มัน เค็มสูง อันนำไปสู่การตัดสินใจเลือกอาหารได้อย่างมีข้อมูล(1) หลายประเทศทั่วโลกมีการนำฉลากรูปแบบนี้มาใช้ เช่น ประเทศอิสราเอล แคนาดา โคลอมเบีย เม็กซิโก ชิลี เปรู เวเนซุเอล่า อาร์เจนติน่า อุรุกวัย แอฟริกาใต้2 (ดูรูป) และฉลากรูปแบบนี้ไม่นำมาใช้ในกรณีที่ปริมาณน้ำตาล ไขมัน และโซเดียมในอาหารต่ำ
1
อิสราเอล 2
เม็กซิโก ชิลี เปรู เวเนซุเอล่า อาร์เจนติน่า อุรุกวัย
3
แอฟริกาใต้ 4
โคลอมเบีย แคนาดา
รูป ฉลากคำเตือนจากต่างประเทศและทีมวิจัยนำมาแปลเป็นภาษาไทย
ที่มาของรูป: แบบสอบถามของโครงการการติดตามการตลาดอาหารและเครื่องดื่มในเด็กของประเทศ 2567
ข้อมูลจากการสำรวจเด็กไทยอายุ 10-18 ปี ทั่วประเทศไทย จำนวน 2,113 คน ของโครงการการติดตามการตลาดอาหารและเครื่องดื่มในเด็กของประเทศไทย โดยสอบถามเด็กว่า “รูปภาพแบบไหน (รูปที่ 1) ที่หนูอยากให้อยู่ด้านหน้าซองขนม เพื่อเตือนหนู หรือทำให้หนูเข้าใจว่า ขนมเหล่านี้ ไม่ดีต่อสุขภาพ มากที่สุด” และให้เลือกตอบได้เพียง 1 คำตอบเท่านั้น คำตอบมีตัวเลือก 5 ตัวเลือก ได้แก่ (1) แบบที่ 1 (2) แบบที่ 2 (3) แบบที่ 3 (4) แบบที่ 4 และ (5) ไม่เตือนทั้งหมด3
ผลการศึกษาพบว่า ร้อยละ 29 ของเด็กไทยเลือกฉลากคำเตือนแบบที่ 1 (ฉลากคำเตือนของประเทศอิสราเอล) มากที่สุด เมื่อพิจารณาตามเพศ พบว่า สัดส่วนการเลือกฉลากสัญลักษณ์คำเตือนแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยระหว่างเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง (ดูแผนภูมิที่ 1-2)
แผนภูมิที่ 1 ร้อยละของการเลือกฉลากคำเตือน
แผนภูมิที่ 2 ร้อยละของการเลือกฉลากคำเตือนจำแนกตามเพศ
การเลือกฉลากคำเตือนสีแดงอาจเพราะสีแดงเป็นสัญลักษณ์สากลที่เชื่อมโยงกับอันตรายหรือการหยุด เช่น ไฟแดง ป้ายห้าม ทำให้เด็กสามารถเข้าใจความหมายได้ทันทีโดยไม่ต้องตีความเชิงโภชนาการที่ซับซ้อน และข้อมูลจากงานวิจัยระบุว่า ฉลากคำเตือนสีแดงสามารถดึงดูดความสนใจและสร้างการจดจำได้มากกว่าฉลากแบบอื่น4 และการมีสัญลักษณ์สีแดงชัดเจนช่วยให้ตัดสินใจได้รวดเร็ว โดยไม่ต้องอ่านข้อมูลโภชนาการละเอียด ซึ่งมีการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบบยืนยันด้วยว่า ฉลากคำเตือนสีแดงช่วยให้เด็กและผู้ใหญ่ทำการเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น5
อีกทั้งงานวิจัยจากประเทศไต้หวันยังพบว่า ฉลากคำเตือนที่มีสีดำไม่สามารถกระตุ้นให้เด็กเลือกอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากขึ้นได้ เพราะสีดำของฉลากคำเตือนที่แม้จะมีความเด่นชัด แต่แสดงเพียงข้อมูลว่าอาหารมีสารอาหารบางชนิดสูงเกินไป โดยไม่ได้ให้ข้อมูลอื่นๆ เพิ่มเติม จึงยังไม่เพียงพอที่จะอธิบายรายละเอียดด้านสุขภาพ ทำให้เด็กไม่เข้าใจความหมายของคำเตือนได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับความแตกต่างทางวัฒนธรรม เนื่องจากขนมในไต้หวันไม่ค่อยมีการใช้ฉลากคำเตือน ทำให้เด็กส่วนใหญ่ไม่คุ้นเคยหรือไม่รู้จักฉลากประเภทนี้ ขณะที่ในประเทศชิลีใช้ฉลากคำเตือนกับอาหารพื้นฐานในชีวิตประจำวัน ทำให้คนทั่วไปคุ้นเคยและเข้าใจความหมายของฉลากมากกว่า ดังนั้น ฉลากคำเตือนสีดำจึงอาจไม่เหมาะสมหากนำมาใช้กับขนมในไต้หวัน6 สำหรับกรณีของประเทศไทย เด็กไทยอาจไม่ได้คุ้นชินกับฉลากสีดำเช่นเดียวกับไต้หวัน แต่กลับตอบสนองต่อสีแดงมากกว่าสีดำ เนื่องจากสีแดงในบริบทวัฒนธรรมไทยมักสื่อถึงความอันตราย หรือการห้าม จึงทำให้ฉลากคำเตือนสีแดงสามารถดึงดูดความสนใจและถ่ายทอดความหมายด้านสุขภาพได้ชัดเจนกว่าสีอื่น
เด็กไทยมีแนวโน้มเลือกฉลากคำเตือนสีแดง ดังนั้น การศึกษาต่อไปควรมีการวิจัยเชิงคุณภาพ เช่น การสนทนากลุ่ม การสัมภาษณ์เชิงลึกกับเด็กไทย เพื่อค้นหาเหตุผลเบื้องหลังของเด็กในการเลือกหรือไม่เลือกรูปแบบฉลากคำเตือน อีกทั้งค้นหาคำตอบให้ครอบคลุมว่า หากมีฉลากคำเตือนแล้วสามารถทำให้เด็กตัดสินใจเลือกซื้ออาหารและเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพได้หรือไม่ เพื่อยืนยันประสิทธิภาพของมาตรการฉลากคำเตือนก่อนการขยายผลด้วยการนำไปพัฒนานโยบายในระดับประเทศต่อไป
เอกสารอ้างอิง