ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ภาคธุรกิจ บริการ และอุตสาหกรรมในประเทศไทยเป็นจำนวนมากต่างได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 องค์กรจำนวนมากจำเป็นต้องปิดกิจการ และอีกจำนวนไม่น้อยต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานหรือการดำเนินธุรกิจเพื่อหาหนทางอยู่รอด อาจกล่าวได้ว่า โควิด-19 ก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบต่อองค์กรและคนทำงานในประเทศไทยเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างย่อมมีสองด้านเสมอ ในบทความนี้ ผู้เขียนจะนำเสนอว่า โควิด-19 ได้สร้างผลกระทบเชิงบวกในรูปแบบใดและอย่างไรต่อคนทำงานและองค์กรในประเทศไทย
จากการสำรวจความสุขของคนทำงาน (ในองค์กร) ระดับประเทศ ปี 2563 (ตุลาคม พ.ศ. 2563–มีนาคม พ.ศ. 2564) ดำเนินงานโดยโครงการศึกษาวิจัยนวัตกรรมสร้างเสริมสุขภาวะองค์กร เพื่อนำไปสู่องค์กรสุขภาวะและความยั่งยืน สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ภายใต้การสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พบว่า ความสุขภาพรวมของคนทำงานในประเทศไทยอยู่ที่ 59.5 คะแนน และเมื่อเปรียบเทียบกับค่าคะแนนความสุขภาพรวมของคนทำงานในปี 2562 พบว่า อยู่ในระดับคะแนนใกล้เคียงกัน คือ ปี 2562 อยู่ที่ 60.2 คะแนน เมื่อพิจารณาความสุขรายมิติในปี 2563 พบว่า 2 มิติความสุขที่มีค่าคะแนนสูงที่สุด ได้แก่ มิติจิตวิญญาณดี (Happy Soul) 67.4 คะแนน และมิติน้ำใจดี (Happy Heart) 64.5 คะแนน ซึ่งเป็นสองมิติที่มีค่าคะแนนความสุขสูงที่สุดเช่นเดียวกับผลการสำรวจในปี 2562 (ดังแผนภูมิ)
แผนภูมิ คะแนนความสุขของคนทำงานฯ ในมิติต่างๆ ปี 2563
ความน่าสนใจจากการสำรวจความสุขฯ ในปี 2563 คือ มีข้อคำถามในประเด็นผลกระทบต่อทุกมิติความสุขจากผลกระทบของโควิด-19 ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งผลกระทบทางบวกและทางลบ โดยพบว่า ผลกระทบของโควิด-19 ต่อคนทำงานในองค์กรในมิติครอบครัวดี (Happy Family) และมิติน้ำใจดี (Happy Heart) เป็นสองมิติความสุขที่คนทำงานส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบเชิงบวกมากกว่าผลกระทบเชิงลบอย่างชัดเจน หมายถึง คนทำงานในองค์กรเห็นว่า โควิด-19 ได้ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อมิติความสุขด้านครอบครัวดี และน้ำใจดี โดยในมิติครอบครัวดี ประกอบด้วยข้อคำถามในเรื่องการมีเวลาอยู่กับครอบครัวเพียงพอการได้ทำกิจกรรมร่วมกับคนในครอบครัว และมีความสุขกับครอบครัว ส่วนมิติน้ำใจดี ประกอบด้วยข้อคำถามในเรื่องการมีความรู้สึกเอื้ออาทร ห่วงใย และให้ความช่วยเหลือคนรอบข้าง การทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม และทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม
ผลกระทบเชิงบวกดังกล่าว อาจตีความได้ว่า ในสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย องค์กรจำนวนมากปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานเป็นการทำงานที่บ้าน (Work From Home) ทำให้คนทำงานมีโอกาสได้อยู่บ้านมากขึ้น สามารถใช้เวลาร่วมกับครอบครัวเพิ่มมากขึ้น และได้ทำกิจกรรมร่วมกันภายในครอบครัวเพิ่มขึ้น สำหรับในด้านมิติน้ำใจดี ในช่วงสถานการณ์ที่ยากลำบากหรือประสบปัญหา คนไทยมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น และเต็มใจให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เช่น การบริจาคเงินและสิ่งของเครื่องใช้ การจัดทำตู้ปันสุข รวมถึงการบริจาคอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการทำงานให้กับบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อต่อสู้กับการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19
ผลกระทบเชิงบวกทั้งสองประการช่วยสะท้อนได้เป็นอย่างดีว่าในช่วงวิกฤตโควิด-19 สถาบันครอบครัวยังคงเป็นสถาบันหลักของสังคมไทยในการสร้างแรงใจให้กับคนทำงานเพื่อมีพลังต่อสู้กับวิกฤต รวมถึงความมีน้ำใจช่วยเหลือสังคมและเพื่อนมนุษย์ของคนไทยแสดงให้เห็นว่า เรายังเป็นสังคมแห่งความช่วยเหลือเกื้อกูล ดังคำพูดที่ว่า “คนไทยไม่ทิ้งกัน” ทั้งสองมิติความสุขดังที่ได้กล่าวมา คือ ครอบครัวดีและน้ำใจดี จึงนับได้ว่าเป็นวัคซีนสำหรับคนทำงานและองค์กรในการต่อสู้กับผลกระทบจากโควิด-19 และเป็นแสงสว่างในยามมืดมิดให้กับประเทศไทย เพื่อให้รอดพ้นวิกฤตในครั้งนี้
มนสิการ กาญจนะจิตรา
ณัฐนี อมรประดับกุล,ณปภัช สัจนวกุล
นงนุช จินดารัตนาภรณ์
ณปภัช สัจนวกุล
ปราโมทย์ ประสาทกุล
ปราโมทย์ ประสาทกุล
ปราโมทย์ ประสาทกุล
ปัณณวัฒน์ เถื่อนกลิ่น
สุรีย์พร พันพึ่ง
โยธิน แสวงดี,ภัทราภรณ์ จึงเลิศศิริ
สุริยาพร จันทร์เจริญ
นันท์สินี ศิริโกสุม,ปิยวัฒน์ เกตุวงศา
สิรินทร์ยา พูลเกิด
สาสินี เทพสุวรรณ์
บุรเทพ โชคธนานุกูล
สุดปรารถนา ดวงแก้ว
ณปภัช สัจนวกุล
ปราโมทย์ ประสาทกุล
สุภิรัฐพงศ์ พงศ์ศักดิ์ศรี
วิภาพร จารุเรืองไพศาล
สลาลี สมบัติมี
จรัมพร โห้ลำยอง
เฉลิมพล แจ่มจันทร์
สุชาดา ทวีสิทธิ์
ปรียา พลอยระย้า
วรรณี หุตะแพทย์
สิรินทร์ยา พูลเกิด
อมรา สุนทรธาดา
วรรณี หุตะแพทย์,ศิรินันท์ กิตติสุขสถิต
นุชราภรณ์ เลี้ยงรื่นรมย์
กัญญาพัชร สุทธิเกษม
สุภรต์ จรัสสิทธิ์
กัญญาพัชร สุทธิเกษม
ศิรินันท์ กิตติสุขสถิต
ปราโมทย์ ประสาทกุล
อภิชัย อารยะเจริญชัย
สุชาดา ทวีสิทธิ์
สุภรต์ จรัสสิทธิ์
มงคล ธงชัยธนาวุฒิ
กัญญาพัชร สุทธิเกษม