The Prachakorn

วิกฤตแรงงานในประเทศไทยกับแนวทางการทดแทนแรงงาน


กัญญาพัชร สุทธิเกษม,กาญจนา เทียนลาย

27 ตุลาคม 2568
5



วิกฤตแรงงานของประเทศไทยในปัจจุบัน นับได้ว่าเป็นภัยคุกคามเชิงโครงสร้างต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาว ปัญหาหลักอย่างหนึ่ง คือการเปลี่ยนแปลงทางประชากรที่รุนแรงนั่นเอง การที่อัตราการเกิดของคนไทยลดลงต่ำสุดในรอบ 70 ปี โดยมีจำนวนเด็กเกิดใหม่น้อยกว่า 500,000 คนต่อปี และภาวะที่จำนวนคนตายมากกว่าเด็กเกิดติดต่อกันมาเป็นเวลาสี่ปี ได้สร้างระเบิดเวลาทางเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนแรงงานที่สำคัญ คือ การขาดแคลนเชิงปริมาณ นั่นคือ ประชากรวัยทำงาน (อายุ 15-64 ปี) จะลดลงอย่างน่าตกใจ ขณะที่ประชากรสูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) จะเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก 

แรงงานข้ามชาติถือเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยในหลากหลายภาคส่วน อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์ “การอพยพกลับประเทศบ้านเกิด” (Return Migration) ครั้งใหญ่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อันเป็นผลมาจากวิกฤตการณ์สำคัญ 2 ระลอก ซึ่งระลอกแรกคือ การระบาดใหญ่ของโควิด-19 และ ระลอกที่สองคือ สถานการณ์ความไม่แน่นอนบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมของไทย ก่อให้เกิดภาวะขาดแคลนแรงงานอย่างเฉียบพลัน บทความนี้ขอฉายภาพสถานการณ์การอพยพกลับประเทศต้นทางของแรงงานข้ามชาติ ผลกระทบที่เกิดขึ้น แนวทางการรับมือและการแก้ไขปัญหาของภาครัฐ เพื่อดึงดูดให้แรงงานข้ามชาติกลับเข้ามาเป็นกำลังสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศอีกครั้ง

สถานการณ์แรงงานข้ามชาติในไทย 

ก่อนการระบาดของโควิด-19 ประเทศไทยมีจำนวนแรงงานข้ามชาติที่ได้รับอนุญาตทำงานอย่างเป็นทางการจำนวนมาก ข้อมูลจากกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ณ เดือนธันวาคม พ.ศ. 2562 ระบุว่ามีแรงงานข้ามชาติในระบบทั้งสิ้น 2,864,835 คน1 โดยส่วนใหญ่เป็นแรงงานจาก 3 สัญชาติหลักๆ ได้แก่ เมียนมา 1,863,205 คน, กัมพูชา 685,735 คน และลาว 315,895 คน1 แรงงานเหล่านี้กระจายตัวอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยส่วนใหญ่จัดอยู่ในกลุ่มแรงงานทักษะต่ำ (unskilled labor) และแรงงานกึ่งทักษะ (semi-skilled labor) ในภาคเกษตรกรรม ก่อสร้าง ประมง และอุตสาหกรรมการผลิต 
เมื่อการระบาดของโควิด-19 ทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้จำนวนแรงงานข้ามชาติลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยในปี 2563 ลดลงเป็น 2,512,328 คน หรือลดลง 352,507 คน และลดเหลือเหลือเพียง 2,350,677 คน ในปี 2564 นับจากก่อนการระบาดของโควิด-19 หรือลดลงกว่า 514,158 คน ข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานว่าการลดลงของแรงงาน ณ สิ้นปี  2564 เป็นผลมาจากการปิดพรมแดน และการถูกเลิกจ้างอย่างกะทันหัน ทำให้แรงงานบางส่วนไม่สามารถหางานใหม่ได้ แรงงานข้ามชาติส่วนหนึ่งจึงเลือกที่จะเดินทางกลับบ้านเกิดภายหลังการระบาดของโควิด-192  ในปี 2565 แรงงานข้ามชาติจึงกลับมาสูงขึ้นถึงประมาณ 3 ล้านคนอีกครั้ง 

เมื่อพิจารณาเฉพาะแรงงานชาวกัมพูชา ข้อมูลจากสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว กระทรวงแรงงาน ระบุว่า ระหว่างเดือนเมษายน–กรกฎาคม 2568 มีแรงงานกัมพูชาที่ได้รับใบอนุญาตทำงานเฉลี่ยอยู่ที่ 512,000–520,000 คน คิดเป็นประมาณ 12.6–12.8% ของแรงงานข้ามชาติทั้งหมด3 ทำงานอยู่ในหลายภาคส่วนของเศรษฐกิจไทย เช่น เกษตรกรรม ก่อสร้าง บริการ และอุตสาหกรรม จนกระทั่งเกิดเหตุสู้รบและความขัดแย้งระหว่างสองประเทศตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา แรงงานข้ามชาติส่วนมากรู้สึกไม่ปลอดภัยจากกระแสความเกลียดชังและการคุกคามในไทย ทำให้มีแรงงานข้ามชาติชาวกัมพูชากว่า 300,000 คน ทยอยเดินทางกลับประเทศ ผ่านด่านชายแดนจังหวัดจันทบุรีและจังหวัดสระแก้ว อีกทั้ง ผลจากข่าวลือที่เกิดขึ้นจากสื่อของประเทศกัมพูชายังเป็นอีกปัจจัยสำคัญ ในการตัดสินใจเดินทางกลับประเทศกัมพูชา ทั้งเรื่องครอบครัวอาจถูกจับข้อหากบฏ หากแรงงานข้ามชาติไม่กลับประเทศ ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการถูกยึดที่ดินจากการจัดระบบที่ดินของรัฐ และข่าวลือเรื่องการถูกถอนสัญชาติ ส่งผลให้แรงงานจำนวนมากตัดสินใจกลับบ้านเกิดด้วยความหวาดกลัวและไม่มั่นใจต่อการดำรงชีพในอนาคต4 

เครดิตภาพ: AI Generate by www.freepik.com

การขาดแคลนแรงงานข้ามชาติ และผลกระทบ 

ในช่วงการระบาดของโควิด-19 นโยบายการจัดการแรงงานข้ามชาติที่เข้มงวดของรัฐไม่สอดคล้องกับความต้องการแรงงาน เนื่องจากแรงงานข้ามชาติที่ถูกเลิกจ้างไม่สามารถย้ายงานได้สะดวกข้อกำหนดทางกฎหมาย ที่ต้องพิสูจน์ความผิดของนายจ้างเดิมหรือชดใช้ค่าเสียหายก่อน ตลอดจนต้องหานายจ้างใหม่ภายใน 30 วัน ซึ่งเงื่อนไขเหล่านี้ดำเนินการได้ยากในช่วงการระบาดของโควิด-19 ทำให้แรงงานจำนวนมากหลุดจากระบบการจ้างงานที่ถูกกฎหมาย นอกจากนี้ ยังมีนายจ้างบางรายเลิกจ้างโดยไม่ต่อใบอนุญาตทำงานอันเนื่องมาจากนโยบายของรัฐ5

กลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดในช่วงการระบาดของโควิด-19 คือ กลุ่มแรงงานทักษะต่ำ (unskilled labor) จากการล็อคดาวน์และการปิดกิจการชั่วคราว ทำให้ขาดรายได้และเผชิญกับความยากลำบากในการดำรงชีพ นอกจากนี้ ยังมีข้อจำกัดในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารด้านสาธารณสุขและสวัสดิการจากรัฐ ดังที่ปรากฏในรายงานขององค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) ที่ชี้ให้เห็นถึงความเปราะบางของแรงงานกลุ่มนี้ในช่วงการระบาดของโควิด-196 ขณะที่กลุ่มแรงงานกึ่งทักษะ (semi-skilled labor) และทักษะสูง (skilled labor) แม้จะมีความมั่นคงทางอาชีพมากกว่า แต่ก็ยังเผชิญกับความไม่แน่นอนในการต่ออายุใบอนุญาตทำงานและวีซ่า รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับมาตรการด้านสาธารณสุขในที่ทำงานในช่วงการระบาดอีกด้วย

การอพยพกลับประเทศไทยของคนกัมพูชา ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคธุรกิจที่พึ่งพาแรงงานกัมพูชาเป็นหลัก เช่น ภาคการก่อสร้างและเกษตรกรรม ในจังหวัดชายแดนทั้งระลอกการระบาดใหญ่ของโควิด-19  และสถานการณ์ความไม่แน่นอนบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ทำให้ผู้ประกอบการต้องเผชิญกับปัญหาขาดแคลนแรงงานอย่างกะทันหัน ทำให้โครงการต่างๆ ต้องหยุดชะงักและผลผลิตทางการเกษตรได้รับความเสียหายโดยเฉพาะผู้ประกอบการตามแนวชายแดน

มาตรการแก้ไขปัญหา: ลดการพึ่งพาแรงงานข้ามชาติ และขยายเวลาเกษียณอายุ 

วิกฤตโควิด-19 และความไม่สงบตามแนวชายแดนได้สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของตลาดแรงงานไทยที่พึ่งพาแรงงานข้ามชาติในสัดส่วนสูง เมื่อแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านจำนวนมากทยอยกลับประเทศ ส่งผลให้หลายภาคส่วน โดยเฉพาะภาคเกษตรกรรม ก่อสร้าง และบริการ เผชิญปัญหาขาดแคลนแรงงานอย่างหนัก การรับมือกับสถานการณ์นี้จึงต้องอาศัยมาตรการเชิงรุกทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน

ภาครัฐสามารถดำเนินนโยบายที่ยืดหยุ่นและเท่าทันต่อสถานการณ์ เพื่ออำนวยความสะดวกในการนำแรงงานกลับเข้ามาทำงานอย่างถูกกฎหมาย รวมทั้งจัดทำแผนสำรองแรงงานข้ามชาติที่มีความยืดหยุ่น เพื่อรองรับภาวะฉุกเฉินและลดการพึ่งพาแรงงานจากประเทศใดประเทศหนึ่งโดยเฉพาะ ควบคู่กับการดูแลด้านสวัสดิการและสิทธิแรงงานอย่างเท่าเทียม ดังเช่นที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 25687 เห็นชอบให้ผ่อนผันแรงงานเพื่อนบ้านที่ใบอนุญาตหมดอายุให้กลับเข้าสู่ระบบ และเปิดทางให้นำเข้าแรงงานจากประเทศใหม่ เช่น เนปาล บังคลาเทศ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เพื่อเสริมกำลังแรงงานในประเทศไทย

ในส่วนของนายจ้าง ควรให้ความร่วมมือในการดูแลแรงงานอย่างเป็นธรรม ทั้งด้านรายได้ ความปลอดภัย และค่าใช้จ่ายในการต่ออายุใบอนุญาตทำงาน พร้อมพัฒนาสภาพแวดล้อมการทำงานให้เหมาะสม และดูแลด้านสวัสดิการและสิทธิแรงงานอย่างเท่าเทียม เพื่อลดอัตราการลาออกและเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับแรงงานทุกสัญชาติ

อย่างไรก็ตาม การพึ่งพาแรงงานข้ามชาติไม่ใช่ทางออกในระยะยาว เมื่อประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ “สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์” การเพิ่มศักยภาพของแรงงานโดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุจึงเป็นอีกแนวทางสำคัญ การเปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุที่ยังมีความสามารถทำงานต่อหลังอายุ 60 ปี จะช่วยบรรเทาภาวะขาดแคลนแรงงาน ใช้ประโยชน์จากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของคนรุ่นเก่า เสริมประสิทธิภาพองค์กร ลดภาระงบประมาณด้านสวัสดิการรัฐ และสร้างรายได้กับศักดิ์ศรีให้กับผู้สูงอายุ ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มในประเทศพัฒนาแล้วที่ขยายอายุเกษียณเป็น 65–70 ปี8, 9 เช่น ฮ่องกง แคนาดา ฟิลิปปินส์ นิวซีแลนด์ และเม็กซิโก ที่ขยายอายุเกษียณถึง 65 ปี ส่วนประเทศสหราชอาณาจักร เยอรมนี และใต้หวัน ขยายอายุเกษียณถึง 66 ปี ประเทศอิตาลี ออสเตรเลีย เนเธอร์แลนด์ กรีซ เดนมาร์ก และไอร์แลนด์ ขยายอายุเกษียณ 67 ปี  และลิเบีย ขยายไปถึง 70 ปี10 ซึ่งต่างก็มีเงื่อนไขและการกำหนดสิทธิต่างๆ ตามนโยบายของแต่ละประเทศ  

ถึงแม้ว่า ในหลายประเทศที่มีมาตรการขยายอายุเกษียณจะช่วยพยุงแรงงานในระบบไว้ได้ แต่ยังมีข้อท้าทายที่ต้องมีมาตรการเสริม ทั้งทัศนคติของสังคมที่มองผู้สูงอายุว่าไม่ทันเทคโนโลยี ความกังวลของนายจ้างเรื่องต้นทุน สุขภาพของผู้สูงอายุ และข้อจำกัดของกฎหมายแรงงานที่ยังไม่รองรับแรงงานอาวุโสอย่างชัดเจน หากภาครัฐเลือกมาตรการดังกล่าว จึงควรดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป ผ่านระบบสมัครใจของทั้งนายจ้างและลูกจ้าง พร้อมสร้างแรงจูงใจ เช่น มาตรการลดหย่อนภาษี การอบรมทักษะใหม่ และการปรับสภาพแวดล้อมการทำงานให้เหมาะสม หากดำเนินนโยบายได้อย่างมีระบบ จะช่วยให้ผู้สูงอายุเปลี่ยนจาก “ภาระทางเศรษฐกิจ” เป็น “พลังแรงงานใหม่” ที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในยุคสังคมสูงวัย และลดการพึ่งพาแรงงานข้ามชาติได้อย่างยั่งยืน


เอกสารอ้างอิง

  1. กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน. สถิติจำนวนคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานคงเหลือทั่วราชอาณาจักร ประจำเดือนธันวาคม 2562. 2563.
  2. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.). รายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสหนึ่ง ปี 2565. [ออนไลน์]. 2565.
  3. College of Population Studies CU. แรงงานกัมพูชาในประเทศไทย: มิติประชากรและการย้ายถิ่นภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งชายแดน. 2568.
  4. เพ็ญพิชชา มุ่งงาม. จากชายแดน สะเทือนถึงแรงงาน: สำรวจสถานการณ์แรงงานในความเปราะบางไทย-กัมพูชา กับ อดิศร เกิดมงคล 2568 [updated 7 สิงหาคม 2568. Available from: https://www.the101.world/migrant-workers-in-thai-cambodia-conflicts/.
  5. กองเศรษฐกิจการแรงงาน สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน. รายงานสถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจการแรงงานระหว่างประเทศและการเคลื่อนย้ายแรงงานระหว่างประเทศ กองเศรษฐกิจการแรงงาน สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงานไตรมาสที่ 1/2564. 2564.
  6. International Organization for Migration (IOM). COVID-19 Response (January 2020 - April 2023). 2021.
  7. กรมประชาสัมพันธ์. กระทรวงแรงงาน เร่งแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานจากเหตุชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อธุรกิจเดินต่อได้ 2568 [updated 9 กันยายน 2568. Available from: https://www.prd.go.th/th/content/category/detail/id/39/iid/421920#:~:text=


CONTRIBUTORS

Related Posts
COVID-19 กับผลกระทบต่อผู้ย้ายถิ่น

สักกรินทร์ นิยมศิลป์

วิกฤตแรงงานในประเทศไทยกับแนวทางการทดแทนแรงงาน

กัญญาพัชร สุทธิเกษม,กาญจนา เทียนลาย

สังคมสูงวัย อย่ามองแค่อายุ

มนสิการ กาญจนะจิตรา

Copyright © 2020 สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม 73170
โทรศัพท์ 02-441-0201-4 โทรสาร 02-441-9333
Webmaster: piyawat.saw@mahidol.ac.th