สิ่งมีชีวิตอันได้แก่ คน สัตว์ และพืช มีจุดหมายสูงสุดคือ การดำรงชีวิตให้คงอยู่ เพื่อให้เจริญเติบโตเต็มที่ จนสามารถสืบทอดเผ่าพันธุ์ต่อไปได้โดยไม่สูญพันธุ์ ดังนั้น ธรรมชาติจึงได้สร้างกลไกต่างๆ ขึ้น เพื่อป้องกันอันตรายไม่ให้เกิดขึ้นต่อชีวิตร่างกาย คันและเกาก็เป็นกลไกธรรมชาติหนึ่งสำหรับคนและสัตว์
ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ได้ให้คำนิยามของคำว่า “คัน” และ “เกา” ดังนี้ “คัน ก. อาการที่รู้สึกให้อยากเกา” และ “เกา ก. เอาเล็บหรือสิ่งที่มีลักษณะคล้ายเล็บครูดผิวหนังเพื่อให้หายคันเป็นต้น” (ดังรูป) อันนับว่าเป็นการให้ความหมายที่ตรงกับข้อเท็จจริงที่สุด
รูป มือขวากำลังเกาหลังมือซ้ายที่คัน
ที่มา: https://www.thehealthy.com/skin-health/health-conditions-with-itchy-skin/ สืบค้นเมื่อ 30 มิถุนายน 2564
คันเป็นความรู้สึกระคายเคืองที่ผิวหนัง จนทำให้รู้สึกอยากเกา อาการคันอาจเกิดจากสาเหตุนอกร่างกาย เช่น ยุง ไม้เลื้อยพิษ หรือจากสาเหตุในร่างกาย เช่น โรคสะเก็ดเงิน โรคภูมิแพ้ สำหรับอาการคันที่เกิดจากแมลงหรือพืชนั้น เป็นเพราะสารพิษที่ถูกปล่อยจากแมลงหรือพืชจะอยู่ใต้ผิวหนัง ซึ่งสารพิษนี้จะทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันด้วยการหลั่งสาร histamine อันเป็นสารเคมีที่ทำให้เกิดอาการคัน เมื่อรู้สึกคันก็อยากเกา การเกาทำให้เส้นเลือดขยาย ซึ่งจะช่วยเพิ่มปริมาณของพลาสมาและเซลล์เลือดขาวให้ไหลมาชะล้างสารพิษออกจากผิวหนัง ด้วยเหตุนี้ผิวหนังจึงเกิดผื่นแดงขึ้นเมื่อเกา
คนเราจะรู้สึกเจ็บที่กล้ามเนื้อ ข้อต่อ อวัยวะ และผิวหนัง แต่ผิวหนังเป็นเพียงแห่งเดียวของร่างกายที่สามารถรู้สึกได้ทั้งเจ็บและคัน
ถึงแม้เส้นประสาทสำหรับความรู้สึกคันและเจ็บจะอยู่ใต้ผิวหนังเหมือนกัน รวมทั้งใช้ลำเส้นใยประสาทเดียวกันก็ตาม แต่กลับใช้ระบบส่งความรู้สึกไปยังสมองที่แยกจากกัน โดยความเร็วของความรู้สึกคันจะช้าที่สุดคือ มีความเร็วเพียง 2 ไมล์ต่อชั่วโมง ส่วนความเร็วของความรู้สึกเจ็บจะอยู่ที่ 80 ไมล์ต่อชั่วโมง และความเร็วของความรู้สึกสัมผัสจะสูงที่สุด คือ 200 ไมล์ต่อชั่วโมง
ความรู้สึกคันคล้ายกับความรู้สึกเจ็บตรงที่เป็นประสบการณ์ที่ไม่พึงใจเหมือนกัน แต่กลับมีพฤติกรรมตอบสนองที่ตรงกันข้าม โดยเมื่อรู้สึกเจ็บก็อยากจะถอยออก อันเป็นการป้องกันอันตรายไม่ให้เกิดขึ้นกับส่วนที่เจ็บ แต่เมื่อรู้สึกคันก็อยากจะเกา อันเป็นการดึงเข้าสู่ผิวหนังที่คัน เกาตรงผิวหนังที่คันจึงเป็นหนทางที่มีประสิทธิภาพในการเอาสิ่งแปลกปลอมใต้ผิวหนังออก รวมทั้งช่วยปัดแมลงที่ตอมอยู่ออกไปด้วย
เมื่อได้เริ่มเกาแล้ว เราก็มักจะรู้สึกคันมากยิ่งขึ้น เพราะเมื่อเกามากขึ้น ร่างกายก็จะหลั่งสาร histamine เพิ่มขึ้น อันจะส่งผลให้เส้นประสาทส่งสัญญาณคันไปยังสมองมากขึ้น ทำให้เกิดความรู้สึกอยากเกามากขึ้นเป็นวัฏจักร “ยิ่งคันยิ่งเกา ยิ่งเกายิ่งคัน” วนเวียนไปเรื่อยๆ จนอาจมีผลให้ผิวหนังถลอก เสี่ยงต่อการติดเชื้อ และก่อให้เกิดสะเก็ดที่น่ารังเกียจ
ถ้าเราไม่สามารถห้ามไม่ให้เกาได้ สิ่งที่ควรทำคือ
ที่น่าสนใจคือ “คันและเกา” เป็นพฤติกรรมที่ติดต่อกันได้เช่นเดียวกับ “หาว” นั่นคือ ถ้าเราเห็นใครเกา เราจะรู้สึกคันและเกาตามไปด้วย หรือถ้าได้ยินหรืออ่านคำว่า คันหรือเกา เราก็จะรู้สึกคันและเกาทันที ความรู้เช่นนี้ ทำให้เราสามารถควบคุมตนเองไม่ให้เกาได้ ด้วยการเตือนตนเองไม่ให้เกาโดยไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเริ่มเกาไปแล้ว ก็ควรใช้สติบอกให้หยุดเกาทันที อันเป็นการตัดวัฏจักร “คัน-เกา เกา-คัน" ได้
รางวัลอีกโนเบลได้เคยมอบให้กับงานวิจัยเกี่ยวกับคันและเกาคือ
ปี 2559 สาขาแพทยศาสตร์ มอบให้กับนักวิจัยชาวเยอรมัน 5 คน (Christoph Helmchen, Carina Palzer, Thomas Munte, Silke Anders และ Andreas Sprenger) ที่ได้ค้นพบว่า เมื่อเรารู้สึกคันที่ด้านซ้ายของร่างกาย ก็สามารถทำให้หายคันได้ ด้วยการมองกระจกเงาแล้วเกาที่ด้านขวา แต่ถ้าคันที่ด้านขวา ก็ให้เกาที่ด้านซ้าย
ปี 2562 สาขาสันติภาพ มอบให้กับนักวิจัย 7 คน จากสหราชอาณาจักร ซาอุดีอาระเบีย สิงคโปร์ และสหรัฐอเมริกา (Ghada A. bin Saif, Alexandru Papoiu, Liliana Banari, Francis McGlone, Shawn G. Kwatra, Yiong-Huak Chan และ Gil Yosipovitch) ที่ร่วมมือกันวัดค่าความหรรษาของการเกาในที่คัน
รางวัลอีกโนเบล: รางวัลที่ขบขัน แต่ชวนให้คิด
หมายเหตุ: ปรับแก้จาก “คันและเกา” ใน ประชากรและการพัฒนา 41(6) สิงหาคม-กันยายน 2564: 8
อมรา สุนทรธาดา
จงจิตต์ ฤทธิรงค์