แฟนคลับซีรีย์เกาหลีน่าจะรู้จักคำ “โอปา” ที่แปลว่า พี่ชาย (ผู้หญิงเรียก ซึ่งมักออกเสียงเป็น “โอปป้า”) และ “นูนา” ที่แปลว่า พี่สาว (ผู้ชายเรียก มักออกเสียงเป็น “นูน่า”) เป็นอย่างดี โดยทั่วไปซีรีย์เกาหลีมักสะท้อนเรื่องราวผ่านชีวิตของตัวละครที่มุ่งมั่นในอาชีพ ทุ่มเทเวลาให้กับการทำงาน จนในบางครั้งมองข้ามชีวิตการแต่งงานและการสร้างครอบครัว ในชีวิตจริงของพระเอกและนางเอกคนดังหลายคนยังไม่ได้แต่งงาน แม้จะไม่ปฏิเสธความรักและกำลังมองหาคนที่ใช่ พวกเขาก็มีวัยใกล้ 40 ปีกันไปแล้วหลายคน การแต่งงานช้าหรือไม่แต่งงานของนักแสดงเกาหลีนั้นสะท้อนชีวิตจริงของประชากรทั่วไปที่พบว่า ในปี 2019 ประชากรสาธารณรัฐเกาหลี หรือเกาหลีใต้ มีอายุโสดเฉลี่ยเมื่อแรกสมรส (singulate mean age at marriage) หรือ อายุเฉลี่ยของการแต่งงานครั้งแรกที่ 33.4 ปี สำหรับผู้ชาย และ 30.6 ปี สำหรับผู้หญิง1 ซึ่งอายุโสดเฉลี่ยเมื่อแรกสมรสนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ที่มา: Hyun Bin http://www.koreandrama.org/wp-content/uploads/2019/11/Crash-Landing-on-You-1.jpg
Son Ye-Jin https://www.asiaone.com/entertainment/miss-son-ye-jin-crash-landing-you-these-are-her-other-shows-check-out
แฟนคลับคงอยากรู้ว่าเพราะเหตุใดนักแสดงขวัญใจของพวกเขา (หรือคุณ) จึงไม่แต่งงาน เสียดายที่บทความนี้ไม่ได้มีโอกาสสัมภาษณ์นักแสดงเกาหลี แต่คิดว่าน่าจะพอหาชมได้จากคลิปวิดีโอสัมภาษณ์ต่าง ๆ ที่มักได้ยินพวกเขาตอบว่า “ไม่มีเวลาให้กับความสัมพันธ์” หรือ “มีความมุ่งมั่นที่จะสรรสร้างงานแสดงคุณภาพให้แก่แฟน ๆ จึงยังไม่คิดเรื่องแต่งงาน” ในฐานะนักประชากรศาสตร์จึงอยากรู้ว่า คำตอบของนักแสดงเหล่านี้จะเหมือนหรือแตกต่างไปจากประชากรหรือคนทั่วไปหรือไม่อย่างไร จึงได้ลองค้นหาคำตอบจากงานวิจัย และพบเหตุผลที่น่าสนใจว่า ทำไมโอปาและนูนา จึงไม่แต่งงาน ภายใต้บริบทของวัฒนธรรมเกาหลีใต้
คนรุ่นใหม่ในเกาหลีใต้มีความนิยมที่จะไม่แต่งงานเพิ่มมากขึ้น จนกระทั่งมีชื่อเรียกประชากรรุ่นอายุนี้ว่า “Sampo generation” ซัมโป (sampo) แปลว่า 3 ซึ่งหมายถึง การละทิ้งความสัมพันธ์ การแต่งงาน และการมีลูก ปรากฏการณ์ลักษณะเดียวกันนี้ที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่นที่เรียกว่า “Satori generation” ซึ่งให้คุณค่ากับเพศ การแต่งงาน และการมีลูก ที่ต่างไปจากรุ่นพ่อแม่ ในเกาหลีใต้มักใช้คำว่า “N-Po generation2” เพื่อเรียกกลุ่มคนที่มีไลฟ์สไตล์แบบเดียวกัน และหมายรวมไปถึงผู้ที่ไร้ความหวังที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้นในอนาคต
ปี 2019 เกาหลีใต้มีประชากรจำนวน 51.8 ล้านคน และ อัตราเจริญพันธุ์รวม หรือ จำนวนบุตรโดยเฉลี่ยที่สตรีคนหนึ่งให้กำเนิดตลอดวัยมีบุตรของตนต่ำที่สุดในโลกในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันอัตราเจริญพันธุ์รวมลดลงเหลือเพียง 0.98 คนเท่านั้น (ประเทศไทยมีอัตราเจริญพันธุ์รวมเท่ากับ 1.53 คน) รัฐบาลเกาหลีใต้ตระหนักและให้ความสำคัญต่อการพัฒนานโยบายประชากรและครอบครัวอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2006 เพื่อเพิ่มอัตราเกิดแต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล3
วัฒนธรรมเกาหลีใต้มีผู้ชายเป็นหัวหน้าครอบครัว แต่สังคมสมัยใหม่ที่ปรับเปลี่ยนเป็นปัจเจกนิยม คนใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี ค่านิยมที่เปลี่ยนไปนี้ส่งผลให้ ประชากรเกือบหนึ่งในสาม (28.7%) อาศัยอยู่คนเดียว และมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นอีกในอนาคต การเปลี่ยนแปลงทางประชากรและรูปแบบการอยู่อาศัยเช่นนี้ ส่งผลกระทบต่อวิถีการดำเนินชีวิตจนทำให้เกิดวัฒนธรรมใหม่ ๆ และการพัฒนาธุรกิจที่ตอบสนองความต้องการแบบ “กินคนเดียว (Hon-bap)” “ดื่มคนเดียว (Hon-sul)” และ “เล่น (ท่องเที่ยว ดูหนัง) คนเดียว (Hon-nol)” เช่น ร้านอาหาร บาร์ คาเฟ่ และ ร้านค้าต่าง ๆ ซึ่งคล้ายๆ กับวัฒนธรรม “เบนโต (Bento)” ในญี่ปุ่น3
ที่มา: ปรับจาก https://www.canva.com/
นักวิชาการชาวต่างชาติ4 ได้กล่าวถึงปรากฏการณ์ทางสังคมที่ทำให้เกิดความเท่าเทียมระหว่างเพศ (gender equality) และ เสรีนิยมทางการตลาด (market liberalization) ซึ่งเป็นทิศทางของการพัฒนาประเทศที่ส่งผลต่อการแต่งงานและการมีบุตร สังคมเกาหลีใต้แบบสมัยใหม่มีผู้หญิงที่ได้รับการศึกษาและทำงานเพิ่มมากขึ้น ในทางตรงกันข้าม จำนวนผู้หญิงที่แต่งงานกลับมีน้อยลง ผู้หญิงเกาหลีใต้สมัยใหม่ต้องการอิสระและทำตามความฝัน พวกเธอกลัวที่จะต้องแลกความฝันกับการมีครอบครัวและการสูญเสียอิสรภาพ
วิกฤตเศรษฐกิจในปี 1997 ทำให้เกิดการแข่งขันสูง อีกทั้งเกาหลีใต้ยังขาดระบบประกันสังคม (social security system) ที่ครอบคลุมและเพียงพอเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ที่พัฒนาแล้ว และมีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจที่ใกล้เคียงกัน ความกดดันทางเศรษฐกิจนี้ทำให้คนรุ่นใหม่เลือกที่จะเลื่อนอายุการแต่งงาน (รวมทั้งการมีลูก) ออกไป เพราะพวกเขาไม่ต้องการตกงาน เหตุผลอันเนื่องมาจากการทำงานและความก้าวหน้าในอาชีพทำให้อัตราการแต่งงานต่อประชากร 1,000 คนของเกาหลีใต้ลดลงจากประมาณ 9 คน ในปี 1970 เหลือเพียงประมาณ 5 คนเท่านั้นในปี 20173
วัฒนธรรมหัวหน้าครอบครัวที่เป็นผู้ชาย ทำให้ดูเหมือนว่าผู้หญิงอาจจะสูญเสียความก้าวหน้าในอาชีพการงานหากพวกเธอตั้งครรภ์ แม้ว่าจะมีกฎหมายคุ้มครองการเลือกปฏิบัติต่อแรงงานสตรีที่ตั้งครรภ์ก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติก็ยังคงมีปัญหาอยู่ นอกจากนี้ หน้าที่ในการดูแลครอบครัวและลูกยังตกเป็นของผู้หญิงแทบทั้งหมด การสำรวจทางสถิติพบว่า ผู้หญิงใช้เวลา 129 นาทีต่อวันในการทำงานที่ไม่ได้รับค่าจ้างซึ่งรวมถึงงานบ้าน ในขณะที่ผู้ชายใช้เวลาเพียง 17 นาทีต่อวันเท่านั้น ซึ่งนับเป็นเวลาที่แตกต่างกันถึงกว่า 7 เท่า
บทบาทชายหญิงที่แตกต่างกันอย่างมากในสังคมที่ผู้ชายเป็นผู้นำอย่างเกาหลีใต้ ผู้หญิงจึงถูกคาดหวังให้เป็นผู้รับผิดชอบในการดูแลบ้านและลูก ยิ่งไปกว่านั้น ความกดดันผ่านสิ่งแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสังคมที่ไม่สนับสนุนการสร้างครอบครัว ทำให้ผู้หญิงเลือกที่จะไม่แต่งงาน เพราะพวกเธอไม่ต้องการสูญเสียอิสรภาพความก้าวหน้าในอาชีพ และความฝันที่พวกเธอตั้งใจจะทำให้สำเร็จ
... และเมื่อผู้หญิงไม่แต่งงาน..ผู้ชายจะแต่งงานกับใครล่ะ
อ้างอิง
ถิรวัฒน์ วรรณพฤกษ์
ศุทธิดา ชวนวัน
ปัทมา ว่าพัฒนวงศ์
อภิชัย อารยะเจริญชัย
อมรา สุนทรธาดา
เฉลิมพล แจ่มจันทร์
ถิรวัฒน์ วรรณพฤกษ์
วรชัย ทองไทย
เฉลิมพล แจ่มจันทร์
ปราโมทย์ ประสาทกุล
ศุทธิดา ชวนวัน
นฤมล เหมะธุลิน,อภิชาติ แสงสว่าง
ถิรวัฒน์ วรรณพฤกษ์
กัญญาพัชร สุทธิเกษม
สุภาณี ปลื้มเจริญ
ศุทธิดา ชวนวัน
ปราโมทย์ ประสาทกุล
ศุทธิดา ชวนวัน
สักกรินทร์ นิยมศิลป์
อภิชาติ จำรัสฤทธิรงค์
ปราโมทย์ ประสาทกุล
สักกรินทร์ นิยมศิลป์
กาญจนา เทียนลาย
สักกรินทร์ นิยมศิลป์
สักกรินทร์ นิยมศิลป์
อมรา สุนทรธาดา
จงจิตต์ ฤทธิรงค์
จงจิตต์ ฤทธิรงค์
จงจิตต์ ฤทธิรงค์
สักกรินทร์ นิยมศิลป์