รายงานจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ระบุว่า นับตั้งแต่เกิดสงครามในยูเครน เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 ถึงวันที่ 27 เมษายน 2565 มีผู้ลี้ภัยจากยูเครน 5,317,219 คน (จำนวนผู้ลี้ภัยจากยูเครนในประเทศปลายทาง ดูตาราง 1) โดยผู้ลี้ภัยราวร้อยละ 90 เป็นผู้หญิงและเด็กเนื่องจากชายชาวยูเครนอายุ 18-60 ปี ไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ เนื่องจากต้องเตรียมพร้อมเพื่อเป็นกองกำลังสำรองของกองทัพ มีผู้พลัดถิ่นฐานภายในประเทศประมาณ 7 ล้านคน
ตาราง 1 จำนวนผู้ลี้ภัยจากยูเครนในประเทศปลายทาง1
ประเทศ | แหล่งข้อมูล | จำนวน | วันที่ |
---|---|---|---|
โปแลนด์ | รัฐบาล | 3,234,036 | 9 พฤษภาคม 2565 |
โรมาเนีย | รัฐบาล | 883,655 | 9 พฤษภาคม 2565 |
รัสเซีย | รัฐบาล | 739,418 | 9 พฤษภาคม 2565 |
ฮังการี | รัฐบาล | 572,760 | 9 พฤษภาคม 2565 |
สาธารณรัฐมอนโดวา | รัฐบาล | 457,066 | 9 พฤษภาคม 2565 |
สโลวาเกีย | รัฐบาล | 404,463 | 9 พฤษภาคม 2565 |
เบลารุส | รัฐบาล | 26,983 | 9 พฤษภาคม 2565 |
แม้ว่ารัสเซียและยูเครนจะสืบเชื้อสายจากบรรพบุรุษเดียวกัน นับถือศาสนาคริสต์นิกาย Byzantine Orthodoxy เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลายในปี 2534 มีประเทศเกิดใหม่ที่แยกตัวออกมาหลายประเทศ เช่น มอนโดวา เบลารุส และยูเครน ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและยูเครนเปราะบางมาก มีเหตุการณ์ทางการเมืองที่รัสเซียพยายามแทรกแซง เช่น กลุ่มแบ่งแยกดินแดนในยูเครน ความขัดแย้งช่วงปี 2557 เมื่อรัสเซียให้การสนับสนุนขบวนการแบ่งแยกดินแดนในยูเครน 2 กลุ่ม คือ Donetsk People’s Republic และ Luhansk People’s Republic ที่ต้องการแยกเป็นประเทศใหม่ โดยรัฐบาลรัสเซียให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ความขัดแย้งดังกล่าวระหว่าง ปี 2557-2563 มีผู้เสียชีวิตราว 13,000 คน
ผู้นำยูเครนต้องการถ่วงดุลอำนาจโดยการพยายามขอเป็นสมาชิกประชาคมยุโรป (EU) ในขณะเดียวกันยังคงความสัมพันธ์ที่ดีกับรัสเซีย
ในช่วงปี 2564-2565 เริ่มมีความขัดแย้งเกิดขึ้นและการต่อต้านถึงขั้นการทำสงคราม เมื่อกองทัพรัสเซียเปิดการสู้รบในหลายเมืองในยูเครน เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 รัฐบาลยูเครนตอบโต้ด้วยการทุบทำลายสิ่งก่อสร้างเชิงสัญลักษณ์รวมทั้งการปลดชื่อถนนหลายสายที่เป็นภาษารัสเซีย
ประธานาธิบดีปูตินส่งกองกำลังทั้งภาคพื้นดินและอากาศ ทำลายเมืองสำคัญหลายแห่งด้านตะวันออกของยูเครนที่มีชายแดนติดต่อกับรัสเซีย เพื่อกระทบอเมริกาและประเทศพันธมิตรอื่นๆ ทำนองส่งสัญญาณว่า ถ้าให้ความช่วยเหลือหรือแทรกแซง ให้เตรียมรับมือกับสงครามนิวเคลียร์
ภาพ: ประชาชนเมือง Mariupol รอรับอาหารเพื่อความอยู่รอด2
ภาพ: พ่อโบกมือส่งกำลังใจลูกก่อนจากกันเพื่อความปลอดภัยในที่อยู่ใหม่3
ปูตินหวั่นการถูกลอยแพจากประเทศที่เคยเป็นพันธมิตรพึ่งพาเชิงเศรษฐกิจ เช่น จีน ที่รีรอแสดงท่าทีให้ชัดเจนว่าจะเลือกข้างไหน ส่งผลต่อการรุกคืบในสนามรบฝ่ายรัสเซียด้วยการเพิ่มกองกำลังพลและอาวุธที่มีสมรรถภาพทำลายล้าง เข้าโจมตีในเมืองสำคัญด้านตะวันออกของยูเครน แม้ยูเครนจะตั้งรับอย่างเข้มข้นด้วยอาวุธที่ได้รับการสนับสนุนจากอเมริกาและกลุ่มสหภาพยุโรป ปัญหาทางยุทธศาสตร์คือการเร่งเคลื่อนย้ายประชาชนออกจากเป้าหมายให้เร็วที่สุด รัสเซียจะอ้างว่า สามารถยึดเมืองที่มั่นที่สำคัญไว้ได้ แต่ในทางยุทธศาสตร์กำลังพลรัสเซียหมดใจสู้รบและขัดขืนวินัย เช่น การดื่มสุราเพื่อย้อมใจยิงรถถังและอุปกรณ์อื่นๆ ให้เสียหาย เพื่อไม่ต้องรับคำสั่งหรือถ่วงเวลาเข้าจู่โจมเป้าหมาย
โปแลนด์และประเทศพันธมิตรอื่นๆ ที่ต้องแบกรับจำนวนผู้ลี้ภัย ร่วมกันจัดตั้งองค์กรฉุกเฉิน ชื่อ Inter-agency Regional Refugee Response Plan (RRP) เมื่อ 1 มีนาคม 2565 เพื่อปฏิบัติงานจนถึง ธันวาคม 2565 โดยมีหน่วยงานมากกว่า 100 องค์กร ร่วมปฏิบัติภารกิจด้านมนุษยธรรมโดยไม่หวังผลตอบแทน และประเทศต่างๆ ในยุโรป โดยเฉพาะประเทศปลายทางรับผู้ลี้ภัยจากยูเครน เช่น ฮังการี มอนโดวา โรมาเนีย สโลวาเกีย เบลารุส บัลกาเรีย และสาธารณรัฐเช็ก สร้างแผนปฏิบัติการช่วยเหลือทั้งระยะสั้นและระยะยาว รวม 3 มาตรการ
การสู้รบในยูเครน สงครามตัวแทน ที่รัสเซียต้องการท้าทายอเมริกาที่ให้ความช่วยเหลือด้านอาวุธที่มีประสิทธิภาพ เป็นเพียงการเริ่มต้นการเผชิญหน้าระหว่างสองขั้วอำนาจ มีผลอย่างยิ่งต่อสันติภาพโลก ประชาคมโลกกำลังหาทางรอดกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากหลายสาเหตุ รวมทั้งวิกฤตโควิด-19 หลักมนุษยธรรมอาจกลายเป็นเหรียญสองด้านหรือเครื่องมือของประเทศมหาอำนาจเพื่อจัดระเบียบโลกหรือไม่
อ้างอิง
สุภรต์ จรัสสิทธิ์
อมรา สุนทรธาดา
ชณุมา สัตยดิษฐ์
อมรา สุนทรธาดา
วรชัย ทองไทย
จงจิตต์ ฤทธิรงค์
อมรา สุนทรธาดา
อารี จำปากลาย
วรชัย ทองไทย
วรชัย ทองไทย
อมรา สุนทรธาดา
อมรา สุนทรธาดา
ภัทราภรณ์ จึงเลิศศิริ
อมรา สุนทรธาดา