The Prachakorn

หาว


วรชัย ทองไทย

16 กรกฎาคม 2564
506



หาวเป็นอาการที่เริ่มด้วยการหายใจเข้าทางจมูกพร้อมทั้งอ้าปากให้กว้างที่สุด แล้วจึงหายใจออกทางปาก (ดูรูป) หาวเกิดจากความเหน็ดเหนื่อย การทำงานหนัก ความเครียด ความเบื่อหน่าย หรือการขาดสิ่งกระตุ้น เมื่อได้หาวแล้ว เราก็จะรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที

รูป เด็กทารกกำลังหาว
ที่มา: https://en.wikipedia.org/wiki/Yawn  สืบค้นเมื่อ 9 กรกฎาคม 2564

เมื่อพูดถึงหาว เรามักจะนึกถึงวลี “ง่วงเหงาหาวนอน” อันเป็นอาการที่เกิดขึ้นกับผู้ที่ใช้สมองเป็นเวลานาน เช่น นักเรียนที่อ่านหนังสือ ทำการบ้าน หรือเตรียมตัวสอบ นักวิจัยที่ต้องเขียนรายงานให้เสร็จ

วิธีแก้ง่วงที่นิยมใช้กันมากคือ ดื่มกาแฟหรือทานยาแก้ง่วง ซึ่งวิธีหลังถือเป็นอันตรายต่อสุขภาพร่างกายอย่างยิ่ง ถ้าทานเกินขนาดหรือเป็นประจำ ส่วนวิธีแรกก็มีผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวเช่นกัน นอกจากนี้ ทั้งสองวิธีก็ยังเป็นวิธีแก้ไขที่ต้องพึ่งสิ่งภายนอก อันถือว่าไม่ยั่งยืน เพราะสิ่งภายนอกอาจขาดแคลนเมื่อไรก็ได้ สำหรับวิธีที่ยั่งยืนกว่าคือ การพึ่งสิ่งภายในหรือการพึ่งตนเอง

ศาสนาพุทธเป็นอเทวนิยมคือ ไม่เชื่อว่ามีพระผู้เป็นเจ้า แต่เชื่อในกฎธรรมชาติและกฎแห่งกรรม (กรรมคือการกระทำที่เจตนา) กล่าวคือ มนุษย์สามารถบันดาลชีวิตของตนเองได้ด้วยผลของการกระทำของตน พุทธศาสนาจึงไม่มีการสวดอ้อนวอน มีแต่สอนให้พึ่งตนเอง และมีคำสอนที่สามารถนำไปประพฤติปฏิบัติได้ในชีวิตประจำวัน เช่น เบญจศีล-เบญจธรรม อริยสัจ 4 มรรค 8 โยนิโสมนสิการ อิทธิบาท 4 พรหมวิหาร 4 สังคหวัตถุ 4 ทิศ 6

สำหรับวิธีแก้ง่วงนั้น พระไตรปิฎกได้กล่าวถึงวิธีแก้ง่วง 8 ประการ ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่พระโมคคัลลานะ อันเป็นวิธีแก้ง่วงตามลำดับ จากง่วงน้อยไปหาง่วงมาก ดังนี้

  1. เมื่อกำลังทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ แล้วเกิดความง่วง ให้พิจารณาสิ่งนั้นให้มาก ความง่วงก็จะหาย
  2. ถ้ายังไม่หาย ให้ตรึกตรองเรื่องที่ได้เรียนได้ฟังมา ด้วยจิตใจที่แน่วแน่
  3. ถ้ายังไม่หาย ให้ท่องข้อความที่ได้เรียนมา หรือตำราที่กำลังอ่านอยู่ด้วยเสียงอันดัง
  4. ถ้ายังไม่หาย ให้ยอนหูทั้ง 2 ข้าง และเอาฝ่ามือลูบตามตัว
  5. ถ้ายังไม่หาย ให้ลุกขึ้นยืน ลูบตา ลูบหน้าด้วยน้ำ แล้วแหงนหน้ามองดูท้องฟ้า
  6. ถ้ายังไม่หาย ให้นึกว่าเป็นกลางวัน มีแสงสว่างอยู่เสมอ
  7. ถ้ายังไม่หาย ให้เดินจงกรมคือ ลุกขึ้นเดินกลับไปกลับมา
  8. ถ้ายังไม่หาย ให้นอนตะแคงขวา ซ้อนเท้าเหลื่อมเท้า มีสติสัมปชัญญะ ตั้งใจว่าจะลุกอยู่เสมอ เมื่อตื่นแล้วรีบลุกขึ้นทันที พร้อมทั้งตั้งใจว่า จะไม่เอาความสุขจากการนอนและการเคลิ้มหลับอีก

จะเห็นได้ว่า ในท้ายที่สุดแล้ว ถ้าง่วงมากก็ให้นอนเสีย แต่ให้เป็นการนอนอย่างมีสติ (ความมีสติ ถือเป็นหลักปฏิบัติที่สำคัญอันหนึ่งของพุทธศาสนา นอกเหนือไปจากความไม่ประมาท และความเพียร)

หาวเกิดขึ้นกับสัตว์มีกระดูกสันหลังทุกชนิด โดยการหาวของสัตว์แต่ละชนิดเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่ต่างกัน เช่น ลิงบาบูนหาวเมื่อต้องการข่มขู่ศัตรู ปลากัดหาวก่อนที่จะกัดคู่ต่อสู้ หนูตะเภาหาวเพื่อแสดงอำนาจหรือเมื่อโกรธ งูหาวหลังจากกินอิ่มแล้วเพื่อจัดขากรรไกให้เข้าที่ นกแพนกวินหาวเมื่อเกี้ยวสาว สุนัขหาวเมื่อเห็นคนหาวหรือกำลังงง และปลาจะหาวถี่ขึ้นเมื่อขาดออกซิเจนหรือเมื่ออุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น

เมื่ออ่านถึงตรงนี้ ผู้อ่านหลายคนอาจจะหาวไปแล้วอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะการหาวอาจเกิดขึ้นเมื่อถูกกระตุ้นจากสิ่งภายนอกก็ได้ เช่น เห็นคนอื่นหาว เห็นรูปคนหรือสัตว์หาว หรือแม้แต่ได้ยินหรือได้อ่านคำว่า “หาว” โดยพฤติกรรมที่ติดต่อกันได้ของหาวนี้ เป็นที่สนใจของนักวิทยาศาสตร์ตลอดมา แต่ก็ยังไม่มีคำตอบ (หรือทฤษฎี) ที่ชัดเจนว่า ทำไมหาวจึงติดต่อกันได้ จะมีก็แต่สมมุติฐานที่ยังต้องพิสูจน์เท่านั้น

การติดต่อกันได้ของหาวเกิดขึ้นเพราะความเห็นอกเห็นใจ ก็เป็นสมมุติฐานหนึ่งที่ยังต้องการพิสูจน์อยู่ โดยงานวิจัยพฤติกรรมชิ้นหนึ่งได้พบว่า ในบรรดาปัจจัยทั้งหลาย เช่น เพศ สัญชาติ และประสาทสัมผัส 5 (ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย) ความผูกพันทางสังคมเท่านั้นที่ทำนายการเกิดขึ้น ความถี่ และช่วงเวลาของการติดต่อกันของหาว นอกจากนี้ในบรรดาตัวชี้วัดของความเห็นอกเห็นใจ อัตราการติดต่อกันของหาวจะสูงที่สุดในหมู่เครือญาติ รองลงมาคือ ในหมู่เพื่อนฝูง ในหมู่คนรู้จัก และน้อยที่สุดในหมู่คนแปลกหน้า ยิ่งกว่านั้น ในหมู่คนในครัวเรือนเดียวกัน การเกิดขึ้นและความบ่อยครั้งของการติดต่อกันของหาวจะมีมากที่สุด ส่วนในหมู่คนแปลกหน้าและในหมู่คนรู้จัก ช่วงเวลาของการติดต่อกันของหาวจะเกิดขึ้นช้ากว่า เมื่อเทียบกับในหมู่เพื่อนและในหมู่ญาติ โดยสรุป สาเหตุสำคัญของการติดต่อกันของหาวคือ ความใกล้ชิดทางอารมณ์ระหว่างปัจเจกบุคคลนั่นเอง

ในเมื่อสัตว์ก็หาวเป็นเหมือนกัน นักวิจัยหัวใสจึงอยากรู้ว่า การติดต่อกันของหาวนี้ มีอยู่ในสัตว์ชนิดใดบ้าง ซึ่งก็ทำให้นักวิจัยกลุ่มนี้ได้รับรางวัลอีกโนเบลไปตามระเบียบ นั่นคือ รางวัลอีกโนเบลสาขาสรีรวิทยาในปี 2554 ที่มอบให้กับนักวิจัยยุโรป 4 คน (Anna Wilkinson, Natalie Sebanz, Isabella Mandl และ Ludwig Huber) ที่ได้ร่วมกันทำวิจัยทดลองเกี่ยวกับการติดต่อกันของหาวในหมู่เต่าเท้าแดง (Red-Footed Tortoise) แล้วพบว่า การหาวจะไม่ติดต่อกันในหมู่เต่าเท้าแดง

รางวัลอีกโนเบล: รางวัลสำหรับงานวิจัยที่ทำให้ “ขำ” ก่อน “คิด”


หมายเหตุ: ปรับแก้จาก “หาว” ใน ประชากรและการพัฒนา 32(3) กุมภาพันธ์-มีนาคม 2555: 8



CONTRIBUTOR

Related Posts
สามีฝรั่งคือปลายทาง

ดุสิตา พึ่งสำราญ

บ้านคนแก่ของเพื่อนเก่า

ปราโมทย์ ประสาทกุล

ผู้หญิงในสถานการณ์โควิด-19

กัญญาพัชร สุทธิเกษม

อนาคตเด็กไทยหน้าติดจอ

นฤมล เหมะธุลิน,อภิชาติ แสงสว่าง

นอนกี่ชั่วโมงคือเพียงพอ

นุชราภรณ์ เลี้ยงรื่นรมย์

สมมุติฐาน

วรชัย ทองไทย

คณิตศาสตร์

วรชัย ทองไทย

Copyright © 2020 สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม 73170
โทรศัพท์ 02-441-0201-4 โทรสาร 02-441-9333
Webmaster: piyawat.saw@mahidol.ac.th