The Prachakorn

อาชีพกับเรื่องอ้วนๆ


จงจิตต์ ฤทธิรงค์

09 มิถุนายน 2564
2,293



การศึกษาในหลายประเทศพบว่า โรคอ้วนมีความสัมพันธ์กับอาชีพ ประมาณครึ่งหนึ่งของพลังงานที่เราใช้เพื่อทำกิจกรรมทางกายในแต่ละวัน (57%) ถูกใช้เพื่อการทำงาน1 กิจกรรมทางกายที่เกิดขึ้นในแต่ละวันนั้นจึงเกี่ยวข้องกับอาชีพและสิ่งแวดล้อมในที่ทำงานเป็นอย่างมาก เพราะโดยทั่วไปประชากรวัยแรงงานใช้เวลาส่วนใหญ่ในสถานที่ทำงาน พนักงานสำนักงานเอกชนแห่งหนึ่งในประเทศไทยใช้เวลาประมาณ 10 ชั่วโมงในที่ทำงาน และ 2 ใน 3 เป็นพฤติกรรมเนือยนิ่ง (sedentary)2 อย่างการนั่งทำงานเป็นเวลานาน ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของภาวะโรคอ้วนและปัจจัยเสี่ยงต่อโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น ความผิดปกติของไขมันในเลือด ความดันโลหิต โรคเบาหวาน ภาวะโรคอ้วนและเริ่มอ้วน (นํ้าหนักเกิน)

ที่มา: ปรับจาก https://www.canva.com/join/pqc-xjm-wwb

ภาวะโรคอ้วนที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกตั้งแต่ปี 1990 หรือ ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เกิดจากประชากรมีกิจกรรมทางกายเพื่อการพักผ่อนลดลงและการทำงานที่ใช้เครื่องจักรแทนกำลังแรงงานของมนุษย์3 การศึกษาในออสเตรเลียพบว่า ผู้ชายที่ทำงานระดับผู้เชี่ยวชาญและทำงานในกระบวนการผลิตขั้นกลางและการขนส่ง (intermediate process and transport) เสี่ยงต่อโรคอ้วน ในขณะที่ผู้หญิงที่ทำงานระดับผู้เชี่ยวชาญ ผู้จัดการ เสมียน และพนักงานบริการ มีความเสี่ยงต่ำต่อโรคอ้วน4

ปัจจุบันอัตราประชากรไทยที่มีภาวะโรคอ้วนมีประมาณ 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด (34.1% หรือ ประมาณ 19.3 ล้านคน) และ อัตราอ้วนลงพุงหรือมีรอบเอวเกินคิดเป็น 37.5% หรือ ประมาณ 20.8 ล้านคน5 อย่างไรก็ตาม อัตราความชุกของภาวะโรคอ้วนนั้นแปรผันตามเชื้อชาติและเพศ สมมติฐานที่สัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของภาวะโรคอ้วน ได้แก่ 1) สิ่งแวดล้อมทางอาหารส่งผลต่อการบริโภคอาหาร 2) ลักษณะของงานที่ต้องการชั่วโมงการทำงานแบบเนือยนิ่งเพิ่มขึ้น 3) ความเครียดจากการทำงานส่งผลต่อวิถีชีวิตที่บั่นทอนสุขภาพ เช่น พฤติกรรมเนือยนิ่ง และ การนอนอย่างไม่มีคุณภาพ 4) เพื่อนร่วมงานส่งผลต่อพฤติกรรมทั้งทางด้านบวกและลบ 5) ความเครียดทางจิตใจที่เป็นสาเหตุให้ร่างกายทำงานผิดปกติซึ่งนำไปสู่ภาวะโรคอ้วน และ 6) การนอนพักผ่อนไม่เพียงพอเนื่องจากการทำงานที่ยาวนานหรือการทำงานเป็นช่วงเวลา (shift work) เป็นปัจจัยเพิ่มความเสี่ยงโรคอ้วน6

การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างโรคอ้วนและอาชีพในประชากรไทยยังไม่ปรากฏหลักฐานเชิงประจักษ์ เพราะยังไม่มีข้อมูลสำรวจภาวะสุขภาพของกลุ่มประชากรวัยแรงงานที่ครอบคลุมประชากรกลุ่มอาชีพต่างๆ อย่างเพียงพอและเป็นตัวแทนของประเทศ (representative) คณะนักวิจัยจึงได้นำชุดข้อมูลที่มีอยู่ ได้แก่ การสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย พ.ศ. 2552 และ สำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. 2553 มาใช้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างโรคอ้วนและอาชีพของคนไทย โดยการจำแนกประเภทอาชีพตามองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization classification – ISCO-88) ซึ่งจำแนกอาชีพออกเป็น 10 กลุ่ม ได้แก่ 1) นักกฎหมาย เจ้าหน้าที่อาวุโส และผู้จัดการ 2) ผู้เชี่ยวชาญ 3) ช่างเทคนิคและผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง 4) เสมียน พนักงานสนับสนุน 5) พนักงานบริการ และพนักงานขายในร้านค้าและตลาด 6) อาชีพพื้นฐาน 7) ฝีมือแรงงานเกษตรและประมง 8) กองทัพ 9) ผู้ปฏิบัติงานในโรงงานและเครื่องจักรและผู้ประกอบผลิตภัณฑ์ 10) ไม่มีอาชีพ 11) อื่นๆ  แม้ชุดข้อมูลดังกล่าวจะเป็นการสำรวจระดับประเทศ แต่เมื่อจำแนกตามลักษณะทางประชากร ได้แก่ กลุ่มอายุ เพศ ระดับการศึกษา พื้นที่อยู่อาศัย (ในและนอกเขตเทศบาล) ภาค และกลุ่มอาชีพแล้ว จะทำให้กลุ่มตัวอย่างมีขนาดเล็ก และส่งผลต่อความแม่นยำในการวิเคราะห์อัตราของผู้ที่มีภาวะโรคอ้วนตามลักษณะทางประชากรดังกล่าว คณะนักวิจัยจึงใช้วิธีการทางสถิติ Bayesian hierarchical models เพื่อการคาดประมาณในพื้นที่หรือกลุ่มประชากรขนาดเล็ก (small area estimation)7

การศึกษานี้7 ใช้รอบเอว (waist circumference) ของกลุ่มตัวอย่างเพื่อวิเคราะห์ดัชนีมวลกาย (body mass index - BMI) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดว่าบุคคลหนึ่งมีภาวะโรคอ้วนหรือไม่ โดยใช้มาตรฐาน International Diabetes Federation8 สำหรับผู้ชายและผู้หญิงชาวเอเชียที่มีรอบเอว 90 และ 80 ซม. ขึ้นไปตามลำดับ การศึกษานี้ยังได้ทดสอบความไวทางสถิติ (sensitivity) ด้วยการใช้เกณฑ์รอบเอวของชาวยุโรป คือ ผู้ชายและผู้หญิงที่มีรอบเอว 102 และ 88 ซม. ขึ้นไปตามลำดับอีกด้วย แม้ว่าการศึกษานี้จะไม่พบรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มอาชีพที่มีแนวโน้มพฤติกรรมเนือยนิ่ง (sedentary occupation) และระดับภาวะโรคอ้วนในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าอัตราภาวะโรคอ้วนแตกต่างกันไปตามกลุ่มอาชีพและเพศ   

การยืนประชุมที่สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
ถ่ายภาพโดย ประทีป นัยนา - ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่จากบุคคลในภาพ

ผู้หญิงไทยส่วนมากที่ทำงานเป็นผู้เชี่ยวชาญและเกษตรกรที่ใช้ทักษะ มีอัตราผู้ที่มีภาวะโรคอ้วนต่ำกว่าอาชีพอื่นในทุกกลุ่มอายุ ส่วนผู้ชายไทยที่ทำงานในโรงงาน ควบคุมเครื่องจักร และผู้ประกอบผลิตภัณฑ์ เป็นกลุ่มที่มีอัตราผู้ที่มีภาวะโรคอ้วนสูงที่สุด รองลงมาคือ ชายไทยที่ทำงานในกองทัพ อาชีพของท่านเป็นประเภทที่เสี่ยงต่อพฤติกรรมเนือยนิ่งหรือไม่ และอาชีพใดเสี่ยงต่อการมีภาวะโรคอ้วนสูงที่สุด สามารถค้นหาคำตอบได้ที่บทความวิจัยด้านล่างนี้  

บทความวิจัยเรื่อง "Obesity and occupation in Thailand: using a Bayesian hierarchical model to obtain prevalence estimates from the National Health Examination Survey"
สามารถติดตามอ่านได้ที่ https://doi.org/10.1186/s12889-021-10944-0

ก่อนจะจบบทความนี้ ขอเสนอเคล็ดลับเพื่อลดความเสี่ยงพฤติกรรมเนือยนิ่งในที่ทำงาน ไม่ว่าคุณจะประกอบอาชีพใด วิธีที่ทำได้ง่ายและได้ผลคือ การหยุดพักจากงานเพียงสั้นๆ 1-2 นาที และบ่อยครั้ง ทุกครึ่งชั่วโมง9 หรือ จะเพิ่มจำนวนก้าวด้วยการเดินระหว่างวัน เช่น การเปลี่ยนจากนั่งรถบริการเป็นเดินจากสถานีรถไฟฟ้าไปที่ทำงาน ใช้บันไดแทนลิฟต์ หรือ จะยืนบ้างระหว่างการประชุมอันแสนยาวนาน ก็จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-communicable diseases-NCDs) หรือปัจจัยเสี่ยงต่อโรคระบบหัวใจและหลอดเลือดได้ถึง 55%2

อาชีพกับเรื่องอ้วนๆ ไม่ใช่ body shaming แต่เป็น well-being ... สุขภาวะที่ดีของทุกคนค่ะ


อ้างอิง

  1. Howitt C, Brage S, Hambleton IR, Westgate K, Samuels TA, Rose AMC, et al. A cross-sectional study of physical activity and sedentary behaviours in a Caribbean population: combining objective and questionnaire data to guide future interventions. BMC Public Health. 2016;16(1):1036.
  2. Jalayondeja C, Jalayondeja W, Mekhora K, Bhuanantanondh P, Dusadi-Isariyavong A, Upiriyasakul R. Break in Sedentary Behavior Reduces the Risk of Noncommunicable Diseases and Cardiometabolic Risk Factors among Workers in a Petroleum Company. Int J Environ Res Public Health. 2017;14(5).
  3. Meseguer CM, n IaG, Herruzo R, Rodrı´guez-Artalejo F. Trends in Leisure Time and Occupational Physical Activity in the Madrid Region, 1995–2008. Revista Española de Cardiología (English Edition). 2011;64(1):21–7.
  4. Allman-Farinelli MA, Chey T, Merom D, Bauman AE. Occupational risk of overweight and obesity: an analysis of the Australian Health Survey. Journal of Occupational Medicine and Toxicology. 2010;5(4):1-9.
  5. Hfocus team. คนไทย “อ้วนลงพุง” กว่า 20 ล้านคน ชี้อันตรายก่อโรคมาก: Hfocus 2021 [Available from: https://www.hfocus.org/content/2021/03/21160.
  6. Jackson CL, Wee CC, Hurtado DA, Kawachi I. Obesity trends by industry of employment in the United States, 2004 to 2011. BMC Obesity. 2016;3(1):20.
  7. Rittirong J, Bryant J, Aekplakorn W, Prohmmo A, Sunpuwan M. Obesity and occupation in Thailand: using a Bayesian hierarchical model to obtain prevalence estimates from the National Health Examination Survey. BMC Public Health. 2021;21(1):914.
  8. International Diabetes Federation (IDF). The IDF consensus worldwide defnition of the metabolic syndrome. Brussels: International Diabetes Federation (IDF); 2006.
  9. Chen C, Dieterich AV, Koh JJE, Akksilp K, Tong EH, Budtarad N, et al. The physical activity at work (PAW) study protocol: a cluster randomised trial of a multicomponent short-break intervention to reduce sitting time and increase physical activity among office workers in Thailand. Bmc Public Health. 2020;20(1):12.

 



CONTRIBUTOR

Related Posts
กลิ่น

วรชัย ทองไทย

สุขอย่างไร……..สุขแบบคนไทย ๔.๐

ศิรินันท์ กิตติสุขสถิต

นอนกี่ชั่วโมงคือเพียงพอ

นุชราภรณ์ เลี้ยงรื่นรมย์

กินคาวไม่กินหวานสันดานไพร่

ณัฐจีรา ทองเจริญชูพงศ์

ส่องเทรนโลก เทรนไทย “ตลาดและคุณภาพอาหารแปรรูปสูง”

ณัฐจีรา ทองเจริญชูพงศ์,สิรินทร์ยา พูลเกิด

Copyright © 2020 สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม 73170
โทรศัพท์ 02-441-0201-4 โทรสาร 02-441-9333
Webmaster: piyawat.saw@mahidol.ac.th