ตอนที่แล้ว จบไปที่พวกเราแยกย้ายกันเข้านอน หลังจากที่รู้ว่าสามีมีผล ATK เป็นบวก
คืนนั้น เมื่อเอาลูกนอนแล้ว ขั้นต่อไปคือ การไลน์แจ้งหัวหน้างาน และเพื่อนร่วมงานที่เราได้ใกล้ชิดในช่วง 10 กว่าวันที่ผ่านมา ว่าตอนนี้เราและครอบครัวมีแนวโน้มว่าจะติดโควิด-19 แล้ว พรุ่งนี้สามีก็จะไปตรวจ RT-PCR (Real Time Polymerase Chain Reaction) ที่โรงพยาบาลอีกครั้งเพื่อความชัดเจน
เมื่อเพื่อนร่วมงานรู้ ต่างก็รีบหาชุดตรวจแบบ ATK มาตรวจกัน โดยทั้งหมดบอกว่า ผลยังเป็นลบ
เช้าวันต่อมา สามีรีบออกจากบ้านแต่เช้าเพื่อไปตรวจที่โรงพยาบาล ใช้เวลาเกือบครึ่งวันในการไปตรวจ และให้กลับมารอฟังผลที่บ้าน ระหว่างนี้พวกเราก็กักตัวกันที่บ้าน แยกห้องกันไม่ออกมาจากห้อง ยกเว้นเราคนเดียวที่ออกมาเตรียมอาหารให้ทุกคนในบ้าน โชคดีที่ในตู้เย็นยังพอมีอาหารสดอยู่บ้างจึงไม่ลำบากมากนัก
แต่เอาจริงๆ ในช่วง 2-3 วันแรก พวกเรากินอะไรแทบไม่ลง เพราะความรู้สึกเครียด กังวล สับสน ว่าเราจะต้องทำอย่างไรต่อไป หากติดแล้วจะทำอย่างไรต่อ แล้วคนรอบข้าง คนใกล้ตัวทั้งที่ทำงาน และที่บ้านที่พวกเราได้กลับไปเยี่ยมก่อนจะรู้ว่าติดโควิดเพียงวันเดียว พวกเขาเหล่านั้นจะเป็นอย่างไรกันบ้าง วัคซีนก็ได้ครบแล้ว 3 เข็ม ทำไมพอจะติดก็ติดง่ายจัง แต่เมื่อทุกอย่างเกิดขึ้นมาแล้ว เราก็ย้อนเวลาไม่ได้ จึงได้พยายามทำใจยอมรับกับเรื่องที่เกิดขึ้น หาทางจัดการ และหาทางออกให้ไวที่สุด จัดการทุกอย่างให้พร้อม หากพวกเราต้องติดโควิดจริงๆ
วันรุ่งขึ้น ผลตรวจของสามีออกมาแล้ว “ติดเชื้อโควิด-19” โดยทางโรงพยาบาลโทรศัพท์มาแจ้งผลการตรวจ และจะมีรถของโรงพยาบาลไปรับตัวมารักษาที่โรงพยาบาล พร้อมกับเสื้อผ้าอีก 1-2 ชุดเท่านั้น ซึ่งน่าจะใช้เวลาไปรักษาประมาณ 10 วัน พวกเราก็คิดว่าโชคดีมากๆ ที่ได้เตียงและได้เข้ารับการรักษาอย่างรวดเร็ว
จากนั้นเราก็รีบแจ้งผลตรวจยืนยันของสามีให้กับที่ทำงานของเราทราบ นับว่าเป็นความโชคดีที่เราได้ทำงานในอยู่ในมหาวิทยาลัย ส่วนงานจึงได้ช่วยประสานงานกับโรงพยาบาลในการส่งตัวเราและเพื่อนร่วมงานที่ได้ใกล้ชิดกับสามีเราไปตรวจ แต่ของลูกสาวเรานั้นเราต้องจัดการจองคิวตรวจเอง ซึ่งจุดนี้เองทำให้เราต้องรีบหาข้อมูลเป็นการใหญ่ เพื่อให้ลูกสาวได้รับการตรวจด้วย
โชคดีที่พี่ที่ทำงานช่วยหาข้อมูลว่ามีการลงทะเบียนเพื่อเข้ารับการตรวจโควิดผ่านเว็บไซต์ แต่ต้องลงทะเบียนก่อนเวลา 15.30 น.ของแต่ละวัน แต่เวลาที่เรารู้ข้อมูลนี้ก็เกือบ 4 โมงเย็นแล้ว เราจึงลองเสี่ยงดวงดู ปรากฏว่า จองคิวได้ช่วงเวลา 7 โมงเช้าของวันรุ่งขึ้น เราจึงลงทะเบียนของตัวเองไปด้วยเพื่อจะได้ตรวจพร้อมกันไม่ต้องไปโรงพยาบาลหลายครั้ง
ในวันที่เราและลูกสาวไปตรวจที่โรงพยาบาล พวกเราก็รีบไปเข้ารับการตรวจ แต่ด้วยความที่เราไม่เตรียมตัวจึงไม่ได้นำสูติบัตรของลูกสาวไป (ลูกสาวอายุยังไม่ครบทำบัตรประชาชน) เจ้าหน้าที่จึงบอกต้องกลับไปเอาเอกสารตัวจริง แม้ว่าเราจะโชว์ภาพสแกนสูติบัตรให้ดูแล้วก็ไม่ได้ แต่ท้ายที่สุด เจ้าหน้าที่ก็อนุโลมให้เรา จุดนี้ขอบ่นนิดนึงว่า ไทยแลนด์ 4.0 แล้ว ทำไมต้องเอาเอกสารตัวจริงมาแสดง แม้ว่าเราจะให้ดูภาพเอกสารจริงมีเลขบัตรประชาชน 13 หลักแล้วก็ยังไม่ยอม จุดนี้ถือว่าเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้เราเกือบจะเข้าไม่ถึงบริการด้านสุขภาพ
จากนั้นเราก็มาลงทะเบียนและรอเข้าไป swab จมูก การ swab คือ การเก็บสารคัดหลั่งทางโพรงจมูกหรือลำคอนั้นเอง รอบแรกเราสองคนแม่ลูกถูกแยงจมูกเพียงอย่างเดียวเท่านั้น และให้นั่งรอฟังผลภายใน 2 ชั่วโมงห้ามเดินออกไปไหน หลังจากนั้นอีกราว 30 นาที เราสองคนแม่ลูกถูกพยาบาลเรียกไปแยงจมูกรอบที่ 2 และให้เปลี่ยนชุดเพื่อไปเอกซเรย์ปอด เราคิดในใจไว้แล้วว่า ผลเป็นบวกแน่ๆ ไม่น่าจะรอด เพราะคนอื่นที่มาตรวจพร้อมกันกลับไม่มีใครโดนเรียกเลย รอบนี้โดนแยงจมูกและที่คอด้วย คนที่เคยโดนแยงที่โรงพยาบาลจะเข้าใจความรู้สึกดี
หลังจากนั้นก็ได้เข้าไปพบหมอในห้องตรวจ หมอใส่ชุด PPE แน่นหนา ซักถามอาการของลูกสาวก่อน ซึ่งเวลานั้นลูกสาวยังไม่มีอาการมากนัก มีเพียงตัวรุมๆ เท่านั้น ไม่มีไข้ ต่อมาหมอก็เริ่มซักอาการเรา ซึ่งอาการเหมือนกับลูกสาวเลย หมอก็ไม่พูดอะไรต่อ เพียงแต่เขียนรายละเอียดในใบประวัติเท่านั้น และเราก็เห็นว่าหมอเขียนเป็นภาษาอังกฤษประมาณว่า COVID infection จึงเอ่ยปากถามหมอไปว่า สรุปเราสองคนติดเชื้อใช่ไหม หมอเงยหน้าขึ้นมาบอกว่า “ครับผม แต่ว่าก็ยังไม่แน่นอนนะ หมอขอตรวจซ้ำอีกรอบแบบ RT-PCR พรุ่งนี้จะโทรไปแจ้งผล อาจจะไม่ติดก็ได้ แต่อย่างไรก็เอายาไปกินก่อนเลยแล้วกัน หากผลเป็นลบ ก็หยุดยา แต่ถ้าเป็นบวก ทางโรงพยาบาลจะประสานเรื่องการมารักษาที่โรงพยาบาล แต่หากเตียงเต็มจะประสานต่อโรงพยาบาลอื่นให้”
ตอนที่รู้ตอนนั้น เราก็ไม่ได้รู้สึกเครียดมากนัก รู้เพียงว่าต้องรีบจัดการเรื่องอื่นๆ โดยเร็ว เรารีบแจ้งไปทางหัวหน้างานเพื่อยืนยันผลตรวจ และกลับบ้านมากักตัวต่อ ซึ่งไม่ผิดคาด วันต่อมาทางโรงพยาบาลโทรมาแจ้งผลว่าผลเป็นบวกกันทั้งสองคนแม่ลูก แต่เพื่อนร่วมงานที่ใกล้ชิดสามีเราที่ไปตรวจพร้อมกันเมื่อวาน ผลออกมาเป็นลบทุกคน
รูป ห้องพักได้อยู่กับลูกสาวสองคน
รูป บรรยากาศนอกหน้าต่างห้องจากชั้น 34
ขอข้ามมาถึงเรื่องการเตรียมตัวไปรักษาตัวเลยแล้วกัน เราสองคนแม่ลูกประเมินเบื้องต้นแล้วอยู่ในกลุ่มสีเขียว คือ ไม่มีอาการและไม่มีความเสี่ยงมากนัก จึงได้เข้ารักษาตัวและกักตัวเป็นเวลา 10 วัน ที่ hospitel ซึ่งมาจากคำว่า hospital โรงพยาบาล และ hotel โรงแรม นั่นคือหอผู้ป่วยเฉพาะของผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 ที่มีอาการไม่รุนแรง หรือผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวนั่นเอง รถของโรงพยาบาลมารับและพาพวกเราไปส่งที่โรงพยาบาล ภายในรถจะมีการกั้นส่วนระหว่างผู้ป่วยและผู้ขับรถ ไม่เปิดแอร์ เปิดกระจดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศ วันนั้นเราสองคนแม่ลูกพร้อมกระเป๋าสัมภาระใบโต มีเพื่อนร่วมเดินทางอีก 3 คน คนแรกเป็นผู้ชายอายุเกิน 60 ปี อีกคนเป็นเด็กอายุประมาณ 10 ขวบ ที่มากับแม่ซึ่งไม่ติดเชื้อ แต่ยอมเสี่ยงเพื่อจะมาดูแลลูกที่ hospitel รถมาจอดที่จุดรับส่งผู้ป่วย โดยจุดแรกที่ต้องไปคือ เอกซเรย์ปอดที่อยู่บริเวณใกล้กับจุดจอดรถ จากนั้นจะมีเจ้าหน้าที่พาพวกเราขึ้นลิฟต์ไปอีกชั้น เพื่อลงทะเบียนและรับอุปกรณ์ที่เราต้องใช้ในช่วงที่เรารักษาตัวอยู่ที่นี่ พยาบาลในชุด PPE ให้พวกเราสแกน QR code เพื่อ add line สำหรับการติดต่อในช่วงที่อยู่ที่นี่ เมื่อ add line เข้ามาจะมีข้อมูลเด้งเข้ามาเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวเมื่ออยู่ที่นี่ว่ามีอะไรบ้าง อาหารจะส่งเวลากี่โมง เวลาในการเอาถุงขยะออกมาวาง เบอร์ติดต่อเมื่อมีความต้องการช่วยเหลือ จากนั้นพยาบาลแนะนำวิธีการวัดไข้ การวัดออกซิเจน การเต้นหัวใจ และการวัดความดันให้ ซึ่งพวกเราต้องทำการวัดและส่งให้หมอผ่านทางไลน์วันละ 3 ครั้ง คือ 08.00 น. 14.00 น. และ 20.00 น. นอกจากนั้นจะมีการเจาะเลือดและเอกซเรย์ปอดทุกๆ 3 วัน เพื่อประเมินอาการ
รูป การวัดความดันเป็นอีกกิจกรรมที่ต้องทำทุกวัน
ต่อจากนั้นพยาบาลให้กุญแจและมีเจ้าหน้าที่พาไปยังห้องพัก ซึ่งอยู่ชั้นที่ 34 ของโรงแรม ห้องพักก็เหมือนกับโรงแรมทั่วไป เพียงแต่พื้นเป็นเสื่อน้ำมันปูทับพรมอีกชั้น ในห้องมีน้ำดื่มวางไว้ให้ (ถ้าไม่พอสามารถขอเพิ่มได้ตลอด) ผ้าขนหนู 4 ผืน ถุงขยะจำนวนหนึ่ง ซึ่งการมารักษาตัวที่ hospitel นี้ ต้องเตรียมเสื้อผ้าและของใช้มาเองทั้งหมด เสื้อผ้าก็ต้องเพียงพอสำหรับ 10 วัน ไม่สะดวกที่จะซักผ้า เนื่องจากไม่มีที่ตาก
เวลาที่พวกเราสองคนได้มารักษาตัวที่นี่ในแต่ละวันดูเหมือนจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว เราได้ทำงานปกติเหมือนเวลาอยู่บ้าน เรารีบเคลียร์งานที่เร่งด่วนออกไปก่อน เพราะห้องพักที่นี่มีแสงสว่างไม่มากพอให้เรานั่งทำงานได้ตลอดทั้งวัน ปลั๊กไฟมีน้อยไม่พอที่จะเสียบปลั๊กคอมพิวเตอร์ ส่วนงานที่ไม่เร่งมากก็ปล่อยผ่านไปก่อน เวลาที่ผ่านไปเราวัดความดัน วัดค่าออกซิเจน วัดไข้ ส่งหมอวันละ 3 ครั้ง บางทีก็ลืมจนพยาบาลต้องแจ้งเตือนให้ส่งการบ้าน กินยา 2 มื้อ แต่ละวันมีหมอโทรมาติดตามอาการ เป็นแบบนี้วนไป
รูป อาหารที่โรงพยาบาลจะมาวางที่หน้าห้องเวลา 8 โมงเช้า และ 5 โมงเย็น
ในส่วนของการรักษาทางยา เราสองคนแม่ลูกได้รับยาฟาวิพิราเวียร์มาจากโรงพยาบาลตั้งแต่วันที่ไปตรวจ RT-PCR ที่โรงพยาบาล กินวันละ 2 มื้อ ห่างกัน 12 ชั่วโมง (เวลาเที่ยงวัน และเที่ยงคืน ที่เป็นเช่นนี้เพราะลืมคิดว่าถ้ากินตอนเที่ยงนับไปอีก 12 ชั่วโมงคือ เที่ยงคืน ทำให้เราสองคนต้องตั้งนาฬิกาปลุกมากินยาทุกวัน) โดย 2 มื้อแรกต้องกินยานี้ 9 เม็ดในผู้ใหญ่ และกิน 4 เม็ดครึ่งในเด็ก ส่วนมื้อต่อๆ มาให้ลดปริมาณลงเหลือเพียงครึ่งหนึ่ง กินต่อเนื่องอย่างน้อย 5 วัน ซึ่งลูกสาวเรายังไม่สามารถกินยาเม็ดได้ แต่ทางโรงพยาบาลไม่มียาน้ำสำหรับเด็ก จึงต้องใช้วิธีบดยา ผสมน้ำและน้ำหวานให้กิน ซึ่งเราก็พกไม้ตีพริกเล็กๆ และมีดเล็กๆ ไปที่ hospitel ด้วย เพื่อใช้ในการบดยา
ในแต่ละวันเราต้องสังเกตอาการตัวเอง และของลูกสาวตลอดเวลาว่ามีอะไรบ้าง และแจ้งกับหมอเวลาที่หมอโทรมาในแต่ละวัน โชคดีที่เราสองคนมีอาการน้อยมาก มีเพียงอาการตัวรุมๆ แต่ไม่มีไข้ มีแน่นจมูกบ้างแต่ยังหายใจได้ดี (โชคดีที่เราพกยาพ่นจมูกเวลาแน่นจมูกไปด้วย และสเปรย์ปรับอากาศกลิ่นยูคาลิปตัส สองอย่างนี้ช่วยได้มาก) มีอาการเหมือนจมูกได้กลิ่นน้อยลงประมาณ 1 วัน และลูกสาวเรามีอาการท้องเสียนิดหน่อยประมาณ 2 วัน เมื่อเรากินยาจนครบ 5 วันแล้ว ได้มีการเจาะเลือดเพื่อดูค่าการอักเสบของเลือด ของลูกสาวเราปกติ แต่ของเราค่าการอักเสบยังสูงเกินเกณฑ์จึงต้องกินยาต่ออีก 5 วัน ส่วนผลการเอกซเรย์พบว่าของลูกสาวมีรอยฝ้าที่ปอดเล็กน้อย แต่ไม่ต้องกังวล
สำหรับ 5 วันหลัง พวกเราแทบไม่มีอาการอะไรแล้ว แต่ต้องอยู่กักตัวให้ครบ 10 วัน พวกเราได้ใช้เวลาดูการ์ตูนด้วยกัน หัดอ่านหนังสือบ้างเล็กน้อย ทำการบ้านบ้างเล็กน้อย ฝึกวิชาจินตคณิต นับเลขด้วยกัน และดูจะรักกันเป็นพิเศษ เพราะอยู่กันแค่สองคน ลูกสาวถามว่า “โควิดเป็นเพราะว่าเราไปกินค้างคาวมาหรือเปล่า หนูเคยเห็นในโทรทัศน์ที่เมืองจีน แล้วโควิดทำให้หนูไม่ได้ไปโรงเรียน ไม่ได้ไปว่ายน้ำเลย” เราจึงได้อธิบายลูกสาวไปว่าไม่ใช่อย่างนั้น โควิดเป็นไวรัสที่ทำให้เราไม่สบาย ติดต่อเวลาที่เราหายใจเอาเจ้าไวรัสเข้าไปในร่างกาย ดังนั้นเราต้องระวังตัวและใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกัน เราได้เห็นว่าลูกสาวของเราเข้าใจว่าทำไมเราต้องมาอยู่ในห้อง และไม่สามารถออกไปไหนได้เลยตลอดระยะเวลา 10 วัน เด็กน้อยรู้จักอดทน ไม่ร้องไห้งอแง ยอมรับเลยว่าเก่งมากสำหรับเด็ก 6 ขวบ และเริ่มนับถอยหลัง รอวันกลับบ้านแล้ว
รูป กิจกรรมของเด็กกักตัว
ในวันที่เราได้กลับบ้าน โชคดีว่าสามีเราได้กลับบ้านมาก่อนแล้วและพ้นระยะการแพร่เชื้อแล้ว สามารถออกมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ เขาจึงขับรถมารับพวกเราที่ hospitel เด็กน้อยเมื่อได้เจอพ่อก็วิ่งเข้าหาด้วยความคิดถึง แล้วถามว่า “พ่อหายแล้วใช่ไหม งั้นเราไปกิน KFC กันเถอะ อยากกินมานานมากแล้ว ...”
ท้ายสุดนี้ ขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วงพวกเรา คอยส่งกำลังใจมาให้ทุกช่องทาง วิดีโอคอลมาคุยแก้เหงาและช่วยคลายความกังวล ขอโทษทุกคนที่พวกเราได้พบเจอในช่วงนั้นและทำให้รู้สึกกังวลใจว่าจะติดเชื้อด้วยหรือไม่ โชคดีที่สุดท้าย ทุกคนผลเป็นลบ
มาถึงตรงนี้ ต้องขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาจนถึงบรรทัดสุดท้ายนี้ ขอจบเรื่องเล่าเอาไว้เพียงเท่านี้ แต่เรื่องการป้องกันกับโควิด-19 นั้น ยังไม่จบเท่านี้แน่นอน เพราะตอนที่ใกล้จะออกจาก hospitel (ปลายเดือนพฤศจิกายน) เริ่มได้ยินคำว่า “โอไมครอน” แล้ว รักษาสุขภาพกันด้วยนะทุกคน
วรชัย ทองไทย
ชณุมา สัตยดิษฐ์
อมรา สุนทรธาดา
ดวงวิไล ไทยแท้
รศรินทร์ เกรย์
เพ็ญพิมล คงมนต์
ภัทราภรณ์ จึงเลิศศิริ
เฉลิมพล แจ่มจันทร์
เฉลิมพล แจ่มจันทร์
นงนุช จินดารัตนาภรณ์
ปิยวัฒน์ เกตุวงศา
มนสิการ กาญจนะจิตรา
ปราโมทย์ ประสาทกุล
ภัทราภรณ์ จึงเลิศศิริ
ดนุสรณ์ โพธารินทร์
ปราโมทย์ ประสาทกุล
ปราโมทย์ ประสาทกุล
กาญจนา เทียนลาย
สุริยาพร จันทร์เจริญ