อาบน้ำ แปรงฟัน รับประทานอาหารเช้า เช็คข่าวจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ฉันจะติดเชื้อไหมนะ พ่อแม่พี่น้องเราปลอดภัยดีไหม
รับประทานอาหารกลางวันไปฟังข่าวเที่ยงไป คนฉีดวัคซีนไปแล้วกี่คน วัคซีนจะพอมั้ย เมื่อไรฉันจะได้ฉีด จะมาอีกกี่โดส สิ้นปีนี้จะฉีดครบ 100 ล้านโดสไหม
ออกจากบ้านไปซื้อของ ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ สวนหน้ากากอนามัย สวมถุงมือ เอ๊ะ คนนั้นติดเชื้อไหมนะ แม่ค้าที่เราซื้อของด้วยไปไหนมาบ้าง รีบเดิน รีบกลับ ออกจากตลาดล้างมือด้วยแอลกอฮอล์อีกรอบ เข้าบ้านแล้วก็ต่อด้วยการล้างมือถูสบู่ หรือไม่ก็อาบน้ำไปเลย
ตั้งแต่การระบาดของโรคโควิด-19 ชีวิตของเราก็ไม่เหมือนเดิมอีกเลย นอกจากเราจะต้องปรับตัวจากวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปซึ่งก็ให้เกิดความเครียดแล้ว หลาย ๆ คนยังต้องพบเจอกับปัญหาอีกหลายด้านที่เป็นผลกระทบจากโรคระบาด เช่น ความกังวลต่อการติดโรค เป็นห่วงคนในครอบครัว สัมพันธภาพในครอบครัวตึงเครียดมากขึ้น ต้องอยู่ห่างจากครอบครัวและเพื่อน ประสบปัญหาเศรษฐกิจย่ำแย่ รายได้ลดลง กิจการต้องปิดตัวลง ถูกสั่งให้ออกจากงาน การปรับตัวเพื่อทำงานที่บ้าน การเลี้ยงลูกที่บ้าน การเรียนออนไลน์ของลูก ความสิ้นหวัง การรอคอยวัคซีน การรอคอยให้โรคร้ายหายไป และอื่น ๆ อีกมาก
ในช่วงสถานการณ์โควิค-19 นี้ทำให้ประชาชนต้องพบเจอกับความท้าทายและความเครียดเรื้อรังที่อยู่กับเรายาวมากว่าหนึ่งปี แต่ความเครียด ความกังวล หรือแม้กระทั่งภาวะซึมเศร้าที่หลาย ๆ คนพบเจอนั้น อาจไม่ได้เป็นสถานการณ์เฉพาะตัวบุคคลเท่านั้น แต่อาจเป็นสัญญาณของบาดแผลทางใจร่วมของสังคม (collective trauma) อีกด้วย
ที่มา Microsoft Office Stock Images
คำว่า บาดแผลทางใจ (trauma) โดยทั่วไปแล้วหมายถึงผลกระทบจากเหตุการณ์ที่กระทบจิตใจของบุคคลอย่างรุนแรง แต่คำว่า บาดแผลทางใจร่วมของสังคม (collective trauma) นั้น หมายถึง ประสบการณ์ที่ส่งผลต่อจิตใจของกลุ่มคน ชุมชน หรือสังคม บาดแผลทางใจร่วมของสังคมไม่เพียงจะนำไปสู่ความตึงเครียดและผลกระทบเชิงลบต่อคนในสังคมเท่านั้น แต่สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของสังคมและชุมชนอย่างลึกซึ้งอีกด้วย เช่น การเปลี่ยนแปลงลักษณะความสัมพันธ์ของคนในสังคม การเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐ การเปลี่ยนแปลงการทำงานของโครงสร้างทางสังคม หรือบรรทัดฐานทางสังคม ตัวอย่างเช่น หลังเหตุการณ์ 9/11 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเผชิญกับการก่อการร้าย ทำให้นโยบายความปลอดภัยในการการเดินทางทางอากาศเปลี่ยนไปนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แม้ว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเกือบ 20 ปีมาแล้ว แต่นโยบายดังกล่าวก็ยังใช้อยู่จวบจนถึงปัจจุบัน1
มีสถานการณ์หลายรูปแบบที่สามารถนำไปสู่บาดแผลทางใจร่วมของสังคม เช่น สงคราม ภัยธรรมชาติ การก่อการร้าย โรคระบาด ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ภาวะความหิวโหยและความยากจนอย่างรุนแรง1 ในสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในปัจจุบัน ก็ถือว่าเป็นสถานการณ์ที่นำไปสู่บาดแผลทางใจร่วมของสังคมได้เช่นเดียวกัน
สิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดคงจะเป็นความเศร้าโศกในวงกว้างที่เกิดขึ้นในสังคม2 จากข่าวการสูญเสียชีวิตรายวัน ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่ต้องสูญเสียคนรักหรือญาติจากโรคร้ายนี้ ก็แทบจะไม่ได้เยี่ยมเยียนหรือบอกลากันต่อหน้า ซึ่งการเว้นระยะห่างในห้วงเวลาของการสูญเสียได้ทิ้งบาดแผลทางจิตใจให้ญาติผู้เสียชีวิต โควิด-19 ยังทำให้เราปรับเปลี่ยนตัวเองในระดับพฤติกรรม การใช้ชีวิตเต็มไปด้วยความวิตกกังวลว่าตนเองจะติดเชื้อหรือไม่ คนในครอบครัวจะเป็นอย่างไร การงาน การเงิน อาชีพ จะไปทางไหน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นความวิตกกังวลในวงกว้างที่เราเห็นพบเห็นและประสบด้วยตัวเองในปัจจุบัน
ในระดับสังคมและนโยบาย เราได้เห็นการปรับเปลี่ยนนโยบายตามสำนักงานต่าง ๆ ให้มีการทำงานที่บ้านเพิ่มมากขึ้น หลายที่ระบุว่าอาจให้พนักงานทำงานลักษณะนี้ไปจนถึงช่วงหลังโรคระบาด รัฐบาลออกนโยบายกำหนดจำนวนคนที่เข้ารับบริการในสถานที่ต่าง ๆ และมาตรการเว้นระยะห่าง เช่น สถานที่ราชการ ร้านอาหาร ร้านค้า และถึงแม้ว่าประชาชนจะได้ฉีดวัคซีนแล้วก็ยังต้องใส่หน้ากากอนามัยต่อไปตามนโยบายของรัฐ มาตรการเหล่านี้อาจอยู่กับเราไปอีกนานเป็นปีหลังจากสถานการณ์โรคระบาดหมดลง เพราะเชื้อไวรัสอาจกลายพันธุ์และเกิดการระบาดระลอกใหม่ขึ้นมาอีก ความไม่แน่นอนเหล่านี้อาจยังคงอยู่ไปอีกระยะหนึ่งแม้ว่าสถานการณ์จะคลี่คลายไปบ้างแล้ว
ความแตกต่างของบาดแผลทางใจของบุคคลกับบาดแผลทางใจร่วมของสังคม คือ เมื่อประสบกับบาดแผลทางใจร่วมของสังคม ผู้คนไม่รู้สึกว่าตนเองเดียวดาย แต่ยังมีผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกันหรือมีผู้ที่ทุกข์ยากกว่าเราอีกจำนวนมาก เราจะเห็นถึงความช่วยเหลือทางสังคมที่เกิดขึ้น มีการบริจาคอาหารให้ผู้กักตัว การบริจาคอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาล ผู้คนในสังคมมองเห็นถึงความยากลำบากของกันและกัน และหยิบยื่นความช่วยเหลือแก่คนที่ลำบากกว่า การช่วยเหลือผู้อื่นนี้ถือว่าเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยเยียวยาจิตใจของทั้งผู้ให้และผู้รับ3 และสะท้อนถึงการก้าวข้ามปัญหาไปด้วยกันของคนในสังคม
การให้ความหมาย (meaning-making) ต่อเหตุการณ์ก็อาจเป็นทางหนึ่งที่จะช่วยให้สังคมก้าวข้ามบาดแผลทางใจได้เช่นกัน เช่น การสร้างจุดประสงค์ร่วมของคนในสังคมหรือการออกนโยบายที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงบวกและความเท่าเทียมกันในสังคม เป็นต้น3
ที่มา Microsoft Office Stock Images
ในระดับบุคคล ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ผู้ที่ประสบกับบาดแผลทางใจเล่าถึงความยากลำบากของตนเองให้ผู้อื่นได้รับรู้ หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น นักบำบัดหรือจิตแพทย์ เพื่อให้สามารถก้าวข้ามบาดแผลทางใจที่เกิดขึ้น การลดการใช้สื่อโซเชียล การพักผ่อนหย่อนใจ การออกกำลังกาย หรือการทำงานอดิเรก ก็สามารถช่วยเยียวยาจิตใจได้ในระดับหนึ่ง ทั้งนี้ทั้งนั้นกิจกรรมที่จะนำไปสู่การเยียวยาของแต่ละคนไม่เหมือนกันและคงไม่มีวิธีไหนที่จะเป็นวิธีที่แก้ปัญหาให้กับทุกคนได้3,4 อย่างไรก็ตาม การก้าวข้ามบาดแผลทางใจนั้นเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลา และเราควรจะให้เวลากับทั้งตัวเองและสังคมในการทำความเข้าใจกับสถานการณ์และสภาพจิตใจ ก่อนที่จะไปสู่หนทางเยียวยาและข้ามผ่านสถานการณ์เหล่านี้ไปได้
อ้างอิง
นุชราภรณ์ เลี้ยงรื่นรมย์
ปราโมทย์ ประสาทกุล
นันท์สินี ศิริโกสุม,ปิยวัฒน์ เกตุวงศา
มนสิการ กาญจนะจิตรา
ดนุสรณ์ โพธารินทร์
กัญญาพัชร สุทธิเกษม
สักกรินทร์ นิยมศิลป์
สุภรต์ จรัสสิทธิ์
นฤมล เหมะธุลิน,อภิชาติ แสงสว่าง
ภัทราภรณ์ จึงเลิศศิริ
สลาลี สมบัติมี
วรชัย ทองไทย
ศุทธิดา ชวนวัน
ปราโมทย์ ประสาทกุล
ปิยวัฒน์ เกตุวงศา
กัญญาพัชร สุทธิเกษม
เพ็ญพิมล คงมนต์
ปราโมทย์ ประสาทกุล
ปราโมทย์ ประสาทกุล
อมรา สุนทรธาดา
นุชราภรณ์ เลี้ยงรื่นรมย์
ณัฐพร โตภะ
ภัสสร มิ่งไธสง
ปัณณวัฒน์ เถื่อนกลิ่น
ปรียา พลอยระย้า
กุลวีณ์ ศิริรัตน์มงคล
ปรียา พลอยระย้า
จรัมพร โห้ลำยอง
สุภรต์ จรัสสิทธิ์
จงจิตต์ ฤทธิรงค์