The Prachakorn

สิทธิในการเปลี่ยนเพศตามกฎหมายในศรีลังกา : ความพิเศษที่ยังคงไม่พิเศษ (ตอนที่ 1)


เสฎฐวุฒิ ยุทธาวรกูล

28 เมษายน 2564
723



ในแวดวงวิชาการที่ศึกษาเกี่ยวกับภูมิภาคเอเชียใต้ (South Asian Studies) ส่วนมากมักจะให้ความสำคัญกับประเทศอินเดีย เพราะหากมองในเชิงการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม อินเดียเป็นประเทศมหาอำนาจที่มีจำนวนประชากรเป็นอันดับสองของโลกรองจากประเทศจีน มีกำลังซื้อมหาศาล เป็นศูนย์กลางการพัฒนาเทคโนโลยี อีกทั้งเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับการปกครองแบบประชาธิปไตยท่ามกลางความหลากหลายทางวัฒนธรรม ในด้านเพศสภาวะและเพศวิถี (gender and sexuality) นั้น อินเดียก็มีความก้าวหน้าอย่างมาก เพราะในปี ค.ศ.2018 ได้มีการยกเลิกมาตรา 377 ในประมวลกฎหมายอาญาของประเทศที่กำเนิดขึ้นในสมัยเป็นบริติช ราช (British Raj)3 ที่กำหนดให้การมีเพศสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่มีเพศกำเนิดเดียวกัน (consensual homosexual intercourse) เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย นอกจากนี้ ในปี ค.ศ.2014 ศาลสูงสุดของอินเดียยังได้ให้การรับรองบุคคลที่มีอัตลักษณ์ข้ามเพศ (trans/transgender person) เป็นเพศที่สาม (third gender) ด้วยเหตุผลว่าเป็นสิทธิของมนุษย์แต่ละคนที่จะเลือกเพศของตนเอง ต่อมาในปี ค.ศ.2019 รัฐสภาอินเดียก็ผ่านร่างกฎหมายรัฐบัญญัติปกป้องสิทธิของบุคคลที่มีอัตลักษณ์ข้ามเพศ (Transgender Persons (Protection of Rights) Act) โดยให้เรียกบุคคลเหล่านี้ว่า “ฮิจรา” (hijra)

ความสำเร็จของอินเดียต่อการรับรองบุคคลที่มีอัตลักษณ์ข้ามเพศในปี ค.ศ.2014 ทำให้ประเทศเกาะทางตอนใต้ของอินเดียอย่างศรีลังกาต้องการที่จะเดินตามรอยนี้บ้าง ภาคประชาสังคมในศรีลังกาหลายกลุ่มให้เหตุผลว่า ศรีลังกากับอินเดียไม่ได้ต่างกันมากนัก ทั้งประวัติศาสตร์ภายใต้อาณานิคมอังกฤษ ความหลากหลายทางเชื้อชาติและศาสนา และประมวลกฎหมายอาญาที่ถูกร่างขึ้นโดยเจ้าอาณานิคมเดียวกัน ทำให้ในปี ค.ศ. 2016 รัฐบาลศรีลังกาของนายไมตรีพละ สิริเสนะ ตัดสินใจดำเนินนโยบาย “สิทธิในการเปลี่ยนเพศตามกฎหมาย” (right to change legal gender) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับชีวิตของบุคคลที่มีอัตลักษณ์ข้ามเพศในหลาย ๆ ด้าน แต่นโยบายนี้ก็ยังขัดกับประมวลกฎหมายอาญาของประเทศอยู่ดี เพราะศรีลังกายังคงบังคับใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 365 และ 365A ที่เป็นมรดกตกทอดมาจากอาณานิคมอังกฤษที่ให้การรักเพศเดียวกันเป็นความผิดทางอาญา นอกจากนี้ บุคคลที่มีอัตลักษณ์ข้ามเพศยังตกเป็นอาชญากรตามมาตรา 399 หากทางการพบว่าบุคคลดังกล่าวมีเพศสภาวะและเพศวิถีที่ที่ขัดกับเพศกำเนิด อีกทั้งตามรัฐกฤษฎีกามาตรา 07/1841 ยังอนุญาตให้ทางการสามารถควบคุมตัวหรือจับกุมบุคคลเหล่านี้ตามอำเภอใจ หากต้องสงสัยว่ามีพฤติกรรมที่ “ไม่เหมาะสม” ในพื้นที่สาธารณะ ซึ่งในที่นี้น่าจะตีความหมายถึงการขายบริการทางเพศ

แม้ว่าในปัจจุบันทางการศรีลังกาจะปฏิเสธการบังคับใช้กฎหมายเหล่านี้ต่อบุคคลที่มีอัตลักษณ์ข้ามเพศ โดยเฉพาะผู้หญิงข้ามเพศ (trans women/transgender women) ไปแล้ว แต่การมีเพศสภาพและเพศวิถีที่ไม่ตรงกับเพศกำเนิดยังคงเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินชีวิตที่เป็นปกติสุขของผู้หญิงข้ามเพศในศรีลังกา เพราะพวกเธอมักถูกเหมารวมว่าเป็น “พนักงานขายบริการทางเพศ” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับนโยบาย “สิทธิในการเปลี่ยนเพศตามกฎหมาย” ที่มีการปฏิบัติมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2016 นั้น มีจุดเริ่มต้นจากการเรียกร้องของผู้หญิงข้ามเพศในสังคมศรีลังกาต่อคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติตั้งแต่ปี ค.ศ. 2015 จนกระทั่งกระทรวงสุขภาพและการบริการทางการแพทย์พื้นเมือง (Ministry of Health and Indigenous Medical Services) ได้ออกหนังสือเวียนที่  01-34/2016 ลงวันที่ 16 มิถุนายน ค.ศ. 2016 อนุญาตให้บุคคลข้ามเพศเหล่านี้สมัครใจเข้ารับ “ประกาศนียบัตรการรับรองเพศสภาพ” (Gender Recognition Certificate: GRC) ตามด้วยกรมทะเบียนบุคคล (Registrar-General’s Department) ที่ได้ออกหนังสือเวียนที่ 06/2016 ลงวันที่ 28 กรกฎาคม ในปีเดียวกัน ต่อหน่วยงานทะเบียนท้องที่ทั่วประเทศ อนุญาตให้บุคคลที่ได้รับประกาศนัยบัตรการรับรองเพศสภาพสามารถเปลี่ยนเพศตามกฎหมายผ่านการแก้ไข “เพศ” ในบัตรประชาชนและเอกสารอื่น ๆ ที่แสดงอัตลักษณ์บุคคลได้ เช่น หนังสือเดินทาง ใบขับขี่ สูติบัตร เป็นต้น โดยยึดหลักตามรัฐกฤษฎีกาว่าด้วยทะเบียนการเกิดและตาย ที่อนุญาตให้มีการแก้ไขข้อมูลทางทะเบียนที่ผิดพลาดจากสูติบัตร

ถึงแม้ว่านโยบายสิทธิในการเปลี่ยนเพศตามกฎหมายจะเป็นแนวทางที่เอื้อประโยชน์ให้บุคคลที่มีอัตลักษณ์ข้ามเพศในศรีลังกาต่อการได้รับการยอมรับทางสังคม แต่ในงานวิทยานิพนธ์ของผู้เขียนที่มุ่งศึกษาเฉพาะชีวิตของผู้หญิงข้ามเพศในศรีลังกานั้นพบว่า กระบวนการได้มาซึ่งการเปลี่ยนเพศตามกฎหมายนี้มีอุปสรรคและซับซ้อนมากกว่าที่เข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นจากปัญหาการเหมารวม การตีตรา การเหยียดหยาม การผลักให้พวกเธอออกไปสู่สังคมชายขอบมากขึ้น และที่สำคัญคือนโยบายนี้ไม่ใช่กฎหมาย แต่เป็นเพียง “แนวปฏิบัติ” ของรัฐเท่านั้น ผู้เขียนเดินทางไปที่กรุงโคลัมโบ ประเทศศรีลังกา และได้มีโอกาสสัมภาษณ์นักกฎหมายประจำหน่วยงานรัฐของศรีลังกา ทนายความ ภาคประชาสังคม และผู้หญิงข้ามเพศ ในช่วงต้นปี ค.ศ. 2020 พบว่า หากผู้หญิงข้ามเพศหนึ่งคนอยากจะเข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนเพศตามกฎหมายนั้น ผู้หญิงคนนั้นจะต้องมีอายุมากกว่า 16 ปีบริบูรณ์ จะต้องผ่าน “การประเมินทางจิต” จากจิตแพทย์เสียก่อน ซึ่งหากผ่านขั้นตอนนี้แล้ว จิตแพทย์จึงจะออกหนังสือว่าเธอควรได้รับฮอร์โมนและการผ่าตัดแปลงเพศ และถูกส่งต่อไปยังแพทย์ที่จะประเมินความพร้อมทางร่างกายว่าควรจะได้รับฮอร์โมนในระยะเวลาเท่าใดตามสภาพร่างกาย ส่วนการผ่าตัดแปลงเพศ ขึ้นอยู่กับความพร้อมของแต่ละคน เนื่องจากมีราคาแพงและเทคโนโลยีการผ่าตัดแปลงเพศของศรีลังกายังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร สุดท้ายเมื่อแพทย์เห็นควรว่าพวกเธอมีร่างกายที่เป็น “ผู้หญิง” ตามที่ต้องการเรียบร้อยแล้ว แพทย์จึงจะมอบประกาศนียบัตรการรับรองเพศสภาพ (GRC) ให้แก่เธอ 

ในขั้นตอนนี้ เมื่อเธอได้รับประกาศนียบัตร ก็อาจเป็นการการันตีเบื้องต้นว่าผู้หญิงข้ามเพศคนนั้นได้รับการรับรองอัตลักษณ์ทางเพศแล้ว แต่ในทางกฎหมาย เธอยังคงเป็น “ผู้ชาย” ตามคำนำหน้านามและเพศกำเนิดที่ระบุในเอกสารราชการอยู่ แต่หากต้องการเปลี่ยนเพศที่ถูกต้องตามกฎหมายเป็น “ผู้หญิง” กระบวนการทางทะเบียนคือ ขั้นตอนต่อไป กล่าวคือ เธอจะต้องเดินทางกลับไปยังบ้านเกิดเพื่อแก้ไข “เพศกำเนิด” ในสูติบัตรและเอกสารอื่น ๆ ให้ตรงกับ “เพศสภาพในปัจจุบัน” ซึ่งวิธีการแก้ไขของฝ่ายทะเบียนบุคคลท้องที่นั้นก็ง่ายมาก เพราะแทนที่จะออกสูติบัตรฉบับใหม่ กลับกลายเป็นการ “ขีดฆ่า” เพศกำเนิดเดิม และเขียนเพศสภาพในปัจจุบันลงไปข้าง ๆ กับเพศกำเนิดที่ถูกขีดฆ่า นั่นหมายความว่า หากผู้หญิงข้ามเพศคนนี้แสดงสูติบัตรให้หน่วยงานราชการหรือหน่วยงานอื่น ๆ เพศกำเนิดของเธอก็ยังคงถูกเปิดเผย ซึ่งกลายเป็นตราบาปที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เลยทั้ง ๆ ที่เธอต้องการชีวิตใหม่ที่สละทิ้งทุกอย่างที่คงความเป็นชาย

สำหรับในตอนต่อไป ผู้เขียนจะชี้ให้เห็นถึงอุปสรรค ความท้าทาย และผลกระทบที่ผู้หญิงข้ามเพศในศรีลังกาต้องเผชิญ หากพวกเธอต้องการได้รับสิทธิในการเปลี่ยนเพศตามกฎหมาย ซึ่งผู้เขียนมองว่าเป็น “ความพิเศษที่ยังคงไม่พิเศษ”


ภาพที่ 1 ประกาศนียบัตรการรับรองเพศสภาพ (Gender Recognition Certificate: GRC)
   
ที่มา : Ministry of Health Sri Lanka. (2016). Issuing of Gender Recognition Certificate for Transgender Community. Retrieved from http://www.health.gov.lk/CMS/cmsmoh1/viewcircular.php?cno=01-34/2016&med=english 

ภาพที่ 2 การเปลี่ยนเพศในสูติบัตรโดยการขีดฆ่าของเจ้าหน้าที่ทะเบียนท้องที่
 
ที่มา : Human Rights Watch. (2016). All Five Fingers Are Not the Same: Discrimination on Grounds of Gender Identity and Sexual Orientation in Sri Lanka. New York: Human Rights Watch.

เอกสารอ้างอิง
Yutthaworakool, S. (2020). Understanding the Right to Change Legal Gender: A Case Study of Trans Women in Sri Lanka. (Master’s Thesis). Mahidol University, Nakhon Pathom.


อ้างอิง

  1. บทความนี้เรียบเรียงจากวิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิตเรื่อง “Understanding the Right to Change Legal Gender: A Case Study of Trans Women in Sri Lanka” นำเสนอต่อสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล
  2. เกี่ยวกับ "ผู้เขียน" จบปริญญาตรีเกียรตินิยมด้านรัฐศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และปริญญาโทด้านสิทธิมนุษยชนและการพัฒนาประชาธิปไตย ปัจจุบันเป็นครูสังคมศึกษาในระดับมัธยมปลาย สนใจประเด็นทางการเมืองและสังคมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ โดยเฉพาะเรื่องสิทธิของคนชายขอบ
  3. บริติช ราช (British Raj) เป็นการเรียกช่วงเวลาที่จักรวรรดิอังกฤษยึดครองอาณานิคมบริเวณภูมิภาคเอเชียใต้ระหว่างช่วงปี ค.ศ.1858 ถึง ค.ศ.1947 ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ประเทศอินเดีย ปากีสถาน บังคลาเทศ ศรีลังกา และเมียนมา ในปัจจุบัน
     


CONTRIBUTOR

Related Posts
คนไทยกับกิจกรรมทางกาย

นุชราภรณ์ เลี้ยงรื่นรมย์

มองประชากรศึกษาผ่านกรอบเควียร์

ติณณภพจ์ สินสมบูรณ์ทอง

คุยกับ ChatGPT เรื่องนโยบายประชากร

อภิชาติ จำรัสฤทธิรงค์

เพศหลากหลาย Happy SDG กับ ภาพจำ ที่เปลี่ยนผ่าน?

วรรณี หุตะแพทย์,ศิรินันท์ กิตติสุขสถิต

ผู้หญิงในสถานการณ์โควิด-19

กัญญาพัชร สุทธิเกษม

มหาวิทยาลัยแบบไหนครองใจนักศึกษาไทย

นุชราภรณ์ เลี้ยงรื่นรมย์

อนาคตเด็กไทยหน้าติดจอ

นฤมล เหมะธุลิน,อภิชาติ แสงสว่าง

Kidfluencer | EP. 2

รีนา ต๊ะดี

กฎหมาย

วรชัย ทองไทย

Copyright © 2020 สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม 73170
โทรศัพท์ 02-441-0201-4 โทรสาร 02-441-9333
Webmaster: piyawat.saw@mahidol.ac.th