ประเทศไทยต้องเผชิญกับวิกฤตโควิด-19 ระลอกใหม่ตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 ที่สาหัสและรุนแรงยิ่งกว่าการแพร่ระบาดในระลอกที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ (21 ก.ค. 2564) มีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นเกินหมื่นรายต่อวัน มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นวันละร่วมร้อยราย รวมแล้วประเทศไทยมียอดผู้เสียชีวิตสะสมจากโควิด-19 มากถึง 3,500 ราย1 แม้ตัวเลขจำนวนผู้เสียชีวิตในประเทศไทยอาจดูไม่มากนักเมื่อเทียบกับในต่างประเทศ แต่เราต้องไม่ลืมว่า ทุกการสูญเสียที่เกิดขึ้นล้วนหมายถึงชีวิตคน
วิกฤตโควิด-19 ที่ทำให้คนไทยนับล้านคนต้องตกงาน ใครไม่เคยเป็นหนี้จำต้องตกอยู่ในสภาวะของการเป็นหนี้ บางคนกลับมีหนี้มากขึ้น มีหลายครอบครัวต้องล้มละลาย หลายกิจการต้องปิดตัวลง บางคนมีบ้านมีรถแต่ต้องปล่อยให้ธนาคารยึดไปเพราะไม่มีกำลังจะผ่อนชำระไหว เด็กจบใหม่หลายแสนคนไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้เข้าสู่ระบบการทำงาน มีเด็กนักเรียนอีกไม่น้อยที่ต้องหลุดจากระบบการศึกษาไปเพราะพ่อแม่ไม่มีกำลังพอจะจ่ายค่าเทอม ยังไม่ต้องพูดถึงวิกฤตความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในทุกระดับของสังคม
วิกฤตครั้งนี้มีแนวโน้มจะรุนแรงยิ่งกว่าวิกฤตเศรษฐกิจที่เคยเกิดขึ้นในปี 2540 และบางทีวิกฤตครั้งนี้อาจมีผลสืบเนื่องไปอีกนานแม้การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 จะสิ้นสุดลง ดังนั้น ในช่วงวิกฤตแบบนี้ คือช่วงเวลาที่รัฐบาลมีหน้าที่และความรับผิดชอบโดยตรงที่ต้องกางและขึง “ตาข่ายรองรับทางสังคม” (social safety net) ให้กว้างและแข็งแรงที่สุด เพื่อช่วยรองรับประชาชนที่ล้มจากวิกฤตโควิด-19 ให้ลุกขึ้นยืนเองได้เร็วที่สุด ซึ่งวิธีการที่ทำได้นั่นก็คือการสร้างระบบสวัสดิการสังคมที่เพียงพอ รวดเร็ว และเป็นธรรม
หากลองดูร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 จะพบว่า งบประมาณประเทศในปี 2565 ถูกปรับลดลง 5.7% เมื่อเทียบกับปี 2564 โดยมีวงเงินอยู่ที่ 3.1 ล้านล้านบาท2 แต่คงเป็นเรื่องปกติในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ที่รัฐบาลไม่อาจเก็บภาษีได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ทำให้การจัดสรรงบฯ ไปยังหน่วยงานต่างๆ ถูกปรับลดลงอย่างถ้วนหน้า
แต่หากจำแนกงบประมาณตามลักษณะงาน กลับพบว่า งบประมาณที่เกี่ยวข้องกับการจัดสวัสดิการสังคม ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้าง “ตาข่ายรองรับทางสังคม” ให้แก่ประชาชนในภาวะวิกฤตแบบนี้ กลับถูกปรับลดลงแทบทุกรายการ เช่น ด้านสิ่งแวดล้อม (ลดลง 47.1%) ด้านสังคมสงเคราะห์ (ลดลง 19.8%) และด้านสาธารณสุข (ลดลง 10.8%) ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนที่มากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการปรับลดลงของงบด้านการป้องกันประเทศ (ลดลง 4.9%) ทุกวันนี้ผู้เขียนเองไม่แน่ใจว่า ประเทศเรายังจำเป็นต้องทำสงครามกับใคร ถ้าจะมีอยู่ตอนนี้ก็เห็นจะเป็นแต่การทำสงครามกับเชื้อโรคที่ช่างยืดเยื้อจริงๆ ในรายละเอียด พบว่า งบสวัสดิการของประชาชนในปี 2565 ถูกปรับลดลงเมื่อเทียบกับงบปี 2564 จำนวนหลายรายการ เช่น งบการเคหะแห่งชาติ (ลดลง 53.2%) กองทุนการออมแห่งชาติ (ลดลง 50.5%) กองทุนประชารัฐสวัสดิการฯ (ลดลง 39.4%) กองทุนประกันสังคม (ลดลง 30.7%) รวมถึงงบบัตรทอง (ลดลง 1.3%)3 การตัดงบสวัสดิการของประชาชนเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาในการจัดลำดับความสำคัญของรัฐบาลที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่ประชาชนกว่าค่อนประเทศกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก เปราะบาง และต้องการความช่วยเหลือจากรัฐมากที่สุด
ตารางเปรียบเทียบงบประมาณรายจ่ายจำแนกตามลักษณะงาน (ปีงบประมาณ 2564-65)
ลักษณะงาน | ปีงบประมาณ | ปีงบประมาณ 2565 เทียบกับ ปีงบประมาณ 2564 | ||||
2564 | 2565 | |||||
จำนวน | ร้อยละ | จำนวน | ร้อยละ | จำนวน | ร้อยละ | |
การบริหารทั่วไป | 1,148,817.5 | 35.0 | 1,120,424.3 | 36.1 | -28,393.2 | -12.60 |
การบริหารทั่วไปของรัฐ | 736,591.5 | 22.4 | 733,030.8 | 23.6 | -3,560.7 | -0.50 |
การป้องกันประเทศ | 210,203.3 | 6.4 | 199,820.7 | 6.4 | -10,382.6 | -4.90 |
การรักษาความสงบภายใน | 202,022.7 | 6.2 | 187,572.8 | 6.1 | -14,449.9 | -7.20 |
การเศรษฐกิจ | 669,622.6 | 20.4 | 691,452.5 | 22.3 | 21,829.9 | 3.30 |
การเศรษฐกิจ | 669,622.6 | 20.4 | 691,452.5 | 22.3 | 21,829.9 | 3.30 |
การบริการชุมชนและสังคม | 1,467,522.4 | 44.6 | 1,288,123.2 | 41.6 | -179,399.2 | -102.50 |
การสิ่งแวดล้อม | 16,143.4 | 0.5 | 8,533.8 | 0.3 | -7,609.6 | -47.10 |
การเคหะและชุมชน | 147,594.8 | 4.5 | 131,707.3 | 4.3 | -15,887.5 | -10.80 |
การสาธารณสุข | 343,906.2 | 10.4 | 306,699.4 | 9.9 | -37,206.8 | -10.80 |
การศาสนา วัฒนธรรมและนันทนาการ | 20,438.9 | 0.6 | 18,696.1 | 0.6 | -1,742.8 | -8.50 |
การศึกษา | 482,764.5 | 14.7 | 456,240.1 | 14.7 | -26,524.4 | -5.50 |
การสังคมสงเคราะห์ | 456,674.6 | 13.9 | 366,246.5 | 11.8 | -90,428.1 | -19.80 |
รวมทั้งสิ้น | 3,285,962.5 | 100.0 | 3,100,000.0 | 100.0 | -185,962.5 | -111.80 |
ที่มา: สำนักงบประมาณ. (2564). งบประมาณโดยสังเขป ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565.
แม้รัฐบาลอาจมองว่าสามารถนำงบที่ได้จากการกู้เงิน (รวมกว่า 2.4 ล้านล้านบาท) ซึ่งแยกออกจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี มาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของโควิด-19 และเพื่อช่วยเหลือเยียวยาให้กับประชาชน รวมทั้งเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมจากผลกระทบของวิกฤตโควิด-19 เป็นการเฉพาะ แต่การปรับลดงบด้านสวัสดิการของประชาชนในสัดส่วนที่มากกว่างบประมาณส่วนอื่นๆ จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีแบบนี้ อาจลดทอนประสิทธิภาพในการจัดสวัสดิการสังคม และมีโอกาสส่งผลในทางลบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน
วิกฤตโควิด-19 ครั้งนี้เป็นเรื่องที่ประชาชนไม่ได้ก่อ รัฐบาลก็เช่นกัน แต่เมื่อวิกฤตเกิดขึ้นแล้ว รัฐบาลย่อมมีหน้าที่โดยตรงในการนำเงินภาษีทุกบาททุกสตางค์มาใช้เพื่อปกป้อง คุ้มครอง และดูแลชีวิตประชาชน รวมถึงพาประเทศกลับคืนสู่ภาวะปกติให้เร็วที่สุด ดังนี้แล้ว จึงขอชวนผู้อ่านมาร่วมกันตั้งคำถามไปด้วยกันว่า รัฐบาลได้ทำหน้าที่พื้นฐานเหล่านี้อย่างสมบูรณ์แล้วหรือยัง
นฤมล เหมะธุลิน,อภิชาติ แสงสว่าง
ภัทราภรณ์ จึงเลิศศิริ
เฉลิมพล แจ่มจันทร์
มนสิการ กาญจนะจิตรา
อมรา สุนทรธาดา
สิรินทร์ยา พูลเกิด
ภูเบศร์ สมุทรจักร