ย่างเข้าไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 แล้ว วันเวลาผ่านไปเร็วมาก แต่ละวันๆ พระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า เผลอแพล็บเดียวพระอาทิตย์ดวงเดิมก็ลาลับไปตอนเย็นค่ำ แต่ละสัปดาห์ผ่านไปไวเหลือเกิน ปีหนึ่งมี 52 สัปดาห์ ปี 2566 นี้ เหลือเวลาอีกเพียง 10 สัปดาห์เท่านั้น เมื่อยังเป็นหนุ่ม ผมเคยตั้งเป้าหมายว่าจะมีชีวิตอยู่ให้นานถึง 80 ปี เท่ากับอายุของพระพุทธเจ้า ถ้าเป็นไปตามหมุดหมายที่คิดไว้ ผมก็มีเวลาหายใจอยู่อีกประมาณไม่ถึง 500 สัปดาห์เท่านั้น
เมื่อเอาสถิติข้อมูลประชากรจากทะเบียนราษฎรของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย มาวิเคราะห์ดูแล้ว เราจะเห็นว่าประชากรตามทะเบียนราษฎรในปี 2565 มีอัตราเพิ่มติดลบ ในปี 2565 จำนวนเกิดน้อยกว่าจำนวนคนตายประมาณเกือบ 9 หมื่นคน เด็กเกิด 5 แสนคน คนตายเกือบ 6 แสนคน คิดเป็นอัตราเพิ่ม(ไม่รวมการย้ายถิ่นเข้าออกประเทศ) ประมาณร้อยละ -0.02 หมายความว่าประชากรที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนราษฎรของประเทศไทยกำลังลดลงแล้ว
อัตราเพิ่มประชากรของประเทศไทยติดลบเป็นปีที่ 2 และยังมีแนวโน้มว่าปี 2566 นี้ อัตราเพิ่มประชากรจะยังคงติดลบต่อไปอีกเป็นปีที่ 3 ตามที่พวกเราที่สถาบันวิจัยประชากรและสังคมเฝ้าติดตามจำนวนเกิดและตายในแต่ละเดือนของปี 2566 เมื่อสิ้นเดือนกรกฎาคม มีเด็กเกิดแล้ว 291,534 คน และมีคนตายไปแล้ว341,702 คน คนตายมากกว่าคนเกิดเมื่อสิ้นเดือนกรกฎาคม 2566 เป็นจำนวนมากถึง 5 หมื่นรายแล้ว!
กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ได้รายงานข้อมูลสถิติประชากรของประเทศไทยที่น่าสนใจไว้มากมาย เมื่อ 50-60 ปีก่อนคงไม่เคยมีใครคิดว่าจำนวนเด็กเกิดจะลดน้อยลงมากมายขนาดนี้ ในช่วงเวลานั้น ประเทศไทยเริ่มนโยบายประชากรที่จะชะลออัตราเพิ่มโดยใช้โครงการวางแผนครอบครัวด้วยระบบสมัครใจเพราะอัตราเกิดสูงมากเหลือเกิน ระหว่างปี 2506 ถึง 2526 มีเด็กเกิดในแต่ละปีเกินกว่า 1 ล้านคน ในปี 2514 มีเด็กเกิดมากที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย คือมากถึง 1 ล้าน 2 แสนกว่าคน พวกเราลองคิดดูว่าเดี๋ยวนี้เป็นอย่างไร ในปี 2565 มีเด็กเกิดเพียง 5 แสนคนคิดเป็นเพียงประมาณร้อยละ 40 ของการเกิดในปีที่เด็กไทยเกิดมากที่สุดเท่านั้น
มาดูสถิติจำนวนคนตายบ้าง เมื่อ 50 ปีก่อน แต่ละปีมีคนตายไม่ถึง 3 แสนคน แต่ในระยะ 10 ปีที่ผ่านมานี้จำนวนคนตายเพิ่มขึ้น ในปี 2564 คนไทยตาย 5 แสน 5 หมื่นคน ปี 2565 จำนวนคนตายเพิ่มขึ้นเกือบแตะหลัก 6 แสนคนแล้ว และยังมีแนวโน้มว่าจำนวนคนตายในปี 2566 นี้จะยังเพิ่มขึ้น คนตายมากกว่าคนเกิดจนทำให้อัตราเพิ่มประชากรติดลบเป็นปีที่ 3 อย่างแน่นอน
ในขณะที่อัตราเพิ่มประชากรของประเทศไทยติดลบ ซึ่งเท่ากับประชากรไทยที่ไม่นับรวมการย้ายถิ่นเข้า/ออกที่เป็นแรงงานข้ามชาติ กำลังลดจำนวนลงอย่างต่อเนื่อง อัตราเพิ่มประชากรสูงอายุกลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมาก ประชากรยิ่งอายุมากยิ่งเพิ่มเร็วประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปเพิ่มขึ้นด้วยอัตราประมาณร้อยละ 4-5 ต่อปี ในขณะที่ประชากรสูงอายุวัยปลาย (อายุ 80 ปีขึ้นไป) กำลังเพิ่มขึ้นด้วยอัตราเฉลี่ยประมาณร้อยละ 7-8 ต่อปี!
ไม่น่าแปลกใจนะครับ ที่ประชากรสูงอายุจะเพิ่มเร็วยิ่งขึ้นอีกในช่วงเวลาตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ขอให้นึกภาพดูนะครับ ประชากรรุ่นเกิดปี 2506-2526 ที่เรียกว่า “ประชากรรุ่นเกิดล้าน” หรือ “สึนามิประชากร” ปีนี้จะเคลื่อนตัวเข้าสู่วัยสูงอายุ (60 ปี) เป็นปีแรกนับตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป แต่ละปีๆ จะมีคนไทยกลายเป็น “ผู้สูงอายุ” ตามคำจำกัดความที่ใช้อยู่ในปัจจุบันคืออายุ 60 ปี ปีละไม่ต่ำกว่า 8 แสนคน อีก 20 ปีข้างหน้า คลื่นยักษ์ประชากรลูกนี้ก็จะกลายเป็นผู้สูงอายุทั้งหมด
ดังนั้น อีก 20 ปีข้างหน้า เราจึงมองเห็นภาพประเทศไทยเป็น “สังคมสูงวัยระดับสุดยอด” อย่างแน่นอน 1 ใน 3 ของคนไทยจำนวนประมาณ 60 ล้านคน จะมีอายุ 60 ปีขึ้นไป
อย่างที่เคยเขียนไว้ใน “ประชากรและการพัฒนา” หลายครั้งว่าประชากรอายุสูงขึ้นก็จะมีความเสี่ยงที่จะไม่สามารถพึ่งตัวเองได้เพิ่มสูงขึ้น คนเราเมื่อมีอายุมากขึ้น อวัยวะต่างๆ ของร่างกายก็จะเสื่อมสภาพลง ความเสี่ยงที่จะเป็นโรคไม่ติดต่อทั้งหลาย เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน ความดันเลือด ก็จะเพิ่มสูงขึ้น ความปรารถนาของพวกเราทุกวันนี้คือ ทำอย่างไรจึงจะให้ตัวเองเป็นอิสระ ยืนอยู่บนขาของตัวเองได้ คือยังสามารถทำกิจวัตรประจำวัน เช่น กิน ขับถ่าย อาบน้ำ แต่งตัว เดินไปไหนมาไหนได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องพึ่งคนอื่นให้นานที่สุด เป็นตัวของตัวเองไปจนหมดลมหายใจ แล้วจากไปอย่างไม่ทุกข์ทรมาน น่าจะเป็นยอดปรารถนาของทุกคน
คนเราถึงจะมีบุญวาสนามากมายเพียงใดก็ตาม ก็อาจต้องมีระยะเวลาหนึ่งในชีวิตที่จะต้องพึ่งพาคนอื่น คือต้องมีผู้ดูแลในยามที่ช่วยตัวเองไม่ได้ในการทำกิจวัตรประจำวัน เมื่อครั้งสังคมไทยยังประกอบไปด้วยครอบครัวขยาย คนที่จะช่วยดูแลผู้ที่อยู่ในภาวะต้องพึ่งพา ไม่ว่าจะเป็นคนป่วย ผู้พิการ หรือผู้สูงอายุ ก็จะเป็นคนในครอบครัว แต่เดี๋ยวนี้ครอบครัวไทยมีขนาดเล็กลง คนจำนวนมากไม่แต่งงาน คนที่แต่งงานแล้วมีลูกน้อยลงหรือไม่มีลูกเลย เราจึงมองเห็นภาพผู้สูงอายุที่อยู่ตามลำพังมากขึ้น ทั้งผู้สูงอายุที่อยู่ตามลำพังคนเดียว ผู้สูงอายุที่อยู่ตามลำพังกับคู่สมรส หรือผู้สูงอายุอยู่กับผู้สูงอายุด้วยกันโดยไม่มีคนรุ่นอื่นอยู่ด้วย
รูป: ผู้สูงอายุเป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุ
ที่มา: https://www.synphaet.co.th/ใส่ใจดูแล-ผู้สูงอายุ/
สืบค้นเมื่อ 7 กันยายน 2566
ถ้าผู้สูงอายุมีฐานะทางเศรษฐกิจดี ก็อาจใช้บริการการดูแลผู้สูงอายุได้ไม่ยากนัก ทุกวันนี้ผมได้เห็นปรากฏการณ์ที่ผู้สูงอายุทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุด้วยกัน ตัวอย่างเช่น
- ลูกที่เป็นผู้สูงอายุต้องทำหน้าที่ดูแลพ่อ/แม่
- น้องชายที่เป็นผู้สูงอายุดูแลพี่ชายซึ่งป่วยติดเตียง
- น้องสาวที่เป็นผู้สูงอายุดูแลพี่สาวสูงอายุที่ป่วยเป็นหลายโรค
- สามีผู้สูงอายุดูแลภรรยาสูงอายุที่ป่วยติดเตียง
การดูแลผู้สูงอายุรายต่างๆ เหล่านี้ เกือบทุกรายใช้วิธีการจ้างผู้ดูแล แต่ตัวผู้สูงอายุเองก็ต้องคอยกำกับดูแลคนที่จ้างมาช่วยงานนั้นอยู่ด้วย แต่มีบางรายที่ผู้สูงอายุต้องทำหน้าที่ดูแลผู้สูงอายุโดยไม่มีผู้ช่วย
การจ้างคนมาดูแลผู้สูงอายุที่บ้านมีค่าใช้จ่ายไม่น้อยนะครับถ้าจ้างคนมาจากศูนย์บริการผู้ดูแลผู้สูงอายุ ก็เสียค่าบริการเดือนละไม่ต่ำกว่า 15,000 บาท อาทิตย์หนึ่งต้องให้ผู้ดูแลหยุด 1 วัน ถ้าให้เขาทำงานในวันหยุดก็ต้องจ่ายค่าจ้างพิเศษ ค่าจ้างผู้ดูแลจะไม่รวมค่าอาหาร เวชภัณฑ์ สุขภัณฑ์ (ผ้าอ้อม) ฯลฯ
สำหรับผู้สูงอายุที่ดูแลผู้สูงอายุด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ พี่ น้อง เท่าที่ได้ฟังคำบอกเล่ามา เมื่อเริ่มรับภาระหน้าที่นี้ แรกๆ จะเครียดมาก กว่าที่จะปรับตัวได้ก็ต้องใช้เวลานานพอสมควร
ท่านผู้อ่านบทความนี้ ถ้าไม่อยากเป็นผู้ได้รับการดูแลซึ่งจะเป็นภาระที่หนักมากของผู้ที่ต้องรับผิดชอบในการดูแลเรา วันนี้เราก็ต้องทำตัวให้มีอายุยืนยาวขึ้นในแต่ละวันๆ อย่างมีสุขภาพดี ด้วยการรู้จักกิน รู้จักพักผ่อน ออกกำลังกาย และทำจิตใจให้ผ่องใสเบิกบานอยู่เสมอ พยายามส่งเสริมสุขภาพของตัวเองตั้งแต่วันนี้ เพื่อให้เรามีพลังไปจนวาระสุดท้ายแห่งชีวิต
ภาพปก freepik.com (premium license)